ฮวงจุ้ยห้องนอน ที่ดีเป็นยังไง? แนะ 10 วิธีจัดห้องนอนตามฮวงจุ้ย

ความสำคัญของการจัดฮวงจุ้ยภายในบ้านอยู่ที่การสร้างสมดุลและความกลมกลืนในพื้นที่อยู่อาศัย เพื่อส่งเสริมพลังงานบวกและความเป็นอยู่ที่ดี การจัดวางเฟอร์นิเจอร์และองค์ประกอบต่างๆ ตามหลักฮวงจุ้ยเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มความสุข สุขภาพ และความมั่งคั่งให้กับผู้อยู่อาศัย โดยเฉพาะการจัดฮวงจุ้ยห้องนอน เพราะเป็นหนึ่งในห้องที่สำคัญที่สุดของบ้าน วิธีจัดห้องนอนตามหลักฮวงจุ้ย คนส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่ในห้องนอนประมาณ 6 – 8 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจ โดยการจัดห้องนอนให้ตรงตามหลักฮวงจุ้ยเพื่อคุณภาพความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัย และความเป็นสิริมงคลมีวิธีการ ดังนี้ 1. ลักษณะและทิศของห้องนอน อ้างอิงจากภูมิศาสตร์ของประเทศไทย ห้องนอนที่ดีควรตั้งอยู่ทางทิศใต้หรือตะวันตกเฉียงใต้ เพราะเป็นทิศทางลม ซึ่งจะช่วยให้อากาศถ่ายเทได้ดี ส่วนห้องนอนที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือหรือทิศตะวันออกจะตรงกับตำแหน่งรับแสงแดด โดยจะได้รับแสงแดดในยามเช้า และไม่ทำให้อุณหภูมิภายในห้องร้อนจนเกินไป 2. ตำแหน่งห้องนอนเจ้าของบ้าน ห้องนอนเจ้าของบ้านควรตั้งอยู่ด้านหลังสุด เพราะตามหลักฮวงจุ้ยที่เป็นตำแหน่งประธาน ในขณะที่ห้องนอนด้านเป็นตำแหน่งบริวาร 3. ตำแหน่งหัวเตียง ตำแหน่งหัวเตียงแต่ละทิศมีความหมายที่แตกต่างกันออกไป อาทิ ทิศใต้ส่งเสริมชื่อเสียงและเกียรติยศ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือส่งเสริมหน้าที่การงาน ทิศตะวันตกเฉียงเหนือส่งเสริมด้านบริวาร 4. ใต้เตียงต้องสะอาด หากใต้เตียงไม่สะอาดหรือมีสิ่งของอยู่ ตามหลักฮวงจุ้ยจะถือว่า พลังงานของผู้อยู่อาศัยไม่สามารถไหลเวียนได้สะดวก และทำให้รู้สึกพักผ่อนไม่เต็มที่ โดยใต้เตียงที่สะอาดเรียบร้อยจะช่วยลดการสะสมของฝุ่นและสิ่งสกปรก 5. ไม่ควรมีเครื่องใช้ไฟฟ้า ห้องนอนที่ดีควรมีเครื่องใช้ไฟฟ้าให้น้อยที่สุด เพราะจะช่วยให้นอนหลับพักผ่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า เมื่อเทียบกับห้องนอนที่มีโทรทัศน์ ตู้เย็น และอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ 6. เลือกใช้โทนสีที่สบายตา สีกับลวดลายของผนังห้อง และเฟอร์นิเจอร์ที่สบายตาจะช่วยสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด และทำให้นอนหลับพักผ่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อาทิ สีขาว สีครีม และสีเทาอ่อน 7. ตั้งโต๊ะข้างเตียง 2 ตัวดีกว่าตัวเดียว การมีโต๊ะข้างเตียง 2 ตัว จะช่วยสร้างความสมดุลให้กับภาพรวมของห้องนอน อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมพลังงานความรักให้กับคนมีคู่ด้วย 8. เอาหนังสือออกจากห้องนอน ตามหลักฮวงจุ้ยถือว่า หนังสือมีพลังงานกระตุ้นจิตใจ ซึ่งอาจทำให้จิตใจว้าวุ่น และพักผ่อนได้ไม่เพียงพอ โดยแนะนำให้เก็บไว้ในห้องนอนเฉพาะหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ 9. เก็บอุปกรณ์ออกกำลังกายออกจากห้องนอน ห้องนอนเป็นสถานที่ที่ต้องการพลังงานแห่งความสงบ ในขณะที่อุปกรณ์ออกกำลังกายมีพลังงานแห่งความกระตือรือร้น โดยเชื่อว่า การเก็บอุปกรณ์ออกกำลังกายไว้ในห้องนอนจะทำให้นอนหลับยาก 10. ห้ามเอางานมาทำในห้องนอน การนำงานหรืออุปกรณ์ทำงานมาไว้ในห้องนอนจะทำให้พักผ่อนได้ไม่เต็มที่ เพราะจะทำให้คิดถึงแต่งานตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม การจัดฮวงจุ้ยห้องนอนที่เหมาะสมควรคำนึงถึงความต้องการใช้งานของผู้อยู่อาศัยด้วย เพราะบ้านที่ดี คือ บ้านที่ผู้อยู่อาศัยมีความสุข ข้อห้ามทำสำหรับการจัดห้องนอนตามฮวงจุ้ย การจัดห้องนอนตามหลักฮวงจุ้ยมีข้อห้ามที่ควรคำนึงถึง 4 ประการหลัก คือ 1. ไม่ควรวางเตียงนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตก ทิศตะวันตกเป็นทิศแห่งการดับสูญหรือทิศของผู้เสียชีวิต โดยการหันหัวเตียงไปทางทิศตะวันตกจะทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกอ่อนเพลีย และไม่เป็นมงคลต่อชีวิต 2. การมีหัวเตียงแสดงถึงความมั่นคง ควรเลือกใช้เตียงนอนที่มีหัวเตียง โดยเฉพาะหัวเตียงที่มีลักษณะทึบและแข็งแรง เพราะหัวเตียงเปรียบเสมือนภูเขา ซึ่งจะช่วยปกป้องผู้อยู่อาศัยจากภัยอันตราย และทำให้ชีวิตมีความมั่นคง 3. ไม่ตั้งโต๊ะเครื่องแป้งตรงกับประตูห้อง หากตั้งโต๊ะเครื่องแป้งตรงกับประตูห้องนอน เมื่อมีคนในบ้านเดินเข้า-ออกอาจทำให้เสียสมาธิระหว่างแต่งหน้าได้ 4. ไม่วางเตียงนอนไว้ตรงกับกระจก หรือตรงกับประตู การวางเตียงนอนไว้ตรงกับกระจก หรือตรงกับประตูจะทำให้เจ้าของห้องรู้สึกไม่สงบ…

รวม 8 คอนโดพร้อมอยู่ ติดรถไฟฟ้า ตกแต่งมาให้แล้ว!

คอนโดพร้อมอยู่เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะสำหรับคนรุ่นใหม่และผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตในเมือง ด้วยข้อดีหลายประการ เช่น สามารถย้ายเข้าอยู่ได้ทันที ไม่ต้องรอการก่อสร้างหรือตกแต่งเพิ่มเติม อีกทั้งยังมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน และทำเลที่ตั้งที่สะดวกต่อการเดินทาง โดยเฉพาะคอนโดพร้อมอยู่ ติดรถไฟฟ้า ที่ช่วยให้การใช้ชีวิตในเมืองเป็นเรื่องง่ายขึ้น ในบทความนี้ พลัสฯ จะพามาดู 8 คอนโดพร้อมอยู่ ติดรถไฟฟ้าที่ตกแต่งมาให้เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ชีวิตของชาวคอนโดสะดวกมากยิ่งขึ้น แนะนำ 8 คอนโดพร้อมอยู่ ติดรถไฟฟ้า คอนโดพร้อมอยู่ ติดรถไฟฟ้า เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทางและการใช้ชีวิต โดย 8 คอนโดพร้อมอยู่ ติดรถไฟฟ้า ได้แก่ 1. วิสซ์ดอม เอสเซ้นส์ สุขุมวิท 101 โครงการคอนโดพร้อมอยู่ อ่อนนุชที่เน้นผสานฟังก์ชันการอยู่อาศัยยุคใหม่เข้ากับธรรมชาติ รวมห้องทั้งหมด 664 ยูนิต โดยมีขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นตั้งแต่ 33.7 – 195.9 ตารางเมตร และมีห้องให้เลือกถึง 4 แบบ ได้แก่ ห้อง 1 ห้องนอน ห้อง 2 ห้องนอน ห้อง 3 ห้องนอน ห้องเพนเฮาส์ ยกระดับการอยู่อาศัยด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางที่ครบครัน อาทิ ลู่วิ่งในสวน สระว่ายน้ำในสวนความยาว 50 เมตร สระว่ายน้ำสำหรับเด็ก ฟิตเนส ห้องพักผ่อนและสวนลอยฟ้า ห้องเด็กเล่น ห้องสมุด และระบบรักาาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง โดยสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย ด้วยเลโคชั่นที่อยู่ใกล้กับรถไฟฟ้า BTS สถานีปุณวิถี และสถานีอุดมสุข รวมถึงแหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท2 ทรูดิจิทัลพาร์ค โรงเรียนนานาชาติแองโกลสิงคโปร์ และอื่น ยูนิตแนะนำ: 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 33.7 ตารางเมตร คลิก 2. น็อตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท 105 โครงการคอนโด Low Rise ที่ประกอบด้วยอาคารสูง 8 ชั้น จำนวน 6 อาคาร รวมห้องทั้งหมด 1,113 ยูนิต โดยมีขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นตั้งแต่ 25.50 – 43.50 ตารางเมตร และมีห้องให้เลือก 3 แบบ คือ ห้อง…

เปิด 10 วิธีเลือกทำเลบ้าน ดูอย่างไร?

นอกจากการออกแบบ ขนาด และปัจจัยอื่นๆ ของตัวบ้าน ทำเลบ้านยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการอยู่อาศัย และมูลค่าของบ้านในระยะยาว ดังนั้นจึงควรพิจารณาเลือกทำเลบ้านอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน ในบทความนี้ พลัสฯ จะมาเปิด 10 วิธีเลือกทำเลบ้าน เพื่อเพิ่มคุณภาพการอยู่อาศัย และสร้างผลตอบแทนในระยะยาว เปิด 10 วิธีเลือกทำเลบ้าน ดูอย่างไร? การเลือกทำเลบ้านที่ดีต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย โดยมี 10 วิธีเลือกทำเลบ้าน ดังนี้ 1. ความสะดวกในการเดินทาง ทำเลบ้านที่ดีควรอยู่ติดกับถนนสายหลัก และมีรถประจำทางผ่าน เพราะสะดวกต่อการเดินทางด้วยรถส่วนตัว และขนส่งสาธารณะ อีกทั้งยังปลอดภัยมากกว่าทำเลบ้านที่อยู่ในซอยลึก ซึ่งเสี่ยงต่อการก่ออาชญากรรมในยามวิกาล 2. ทำเลบ้านไม่ห่างจากที่ทำงาน หากทำเลบ้านอยู่ห่างไกลจากที่ทำงาน ต้นทุนการเดินทางของเจ้าของบ้านหรือผู้หารายได้หลักของครอบครัวจะเพิ่มมากขึ้น ทั้งต้นทุนด้านงบประมาณ เวลา และสุขภาพ ซึ่งก่อให้เกิดความไม่คุ้มค่าในระยะยาว 3. ทำเลบ้านไม่เสี่ยงต่อน้ำท่วมหรือเป็นพื้นที่รองรับน้ำ พื้นที่สีเขียวทแยงบนแผนผังเมือง คือ พื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม โดยมีระดับต่ำกว่าพื้นที่รอบๆ ส่งผลให้ทำเลบ้านบนพื้นที่นี้มีโอกาสเป็นพื้นที่รองรับน้ำ และเกิดน้ำท่วมเป็นประจำ 4. ทำเลบ้านไม่อยู่ใกล้เคียงโรงงานอุตสาหกรรมหรือพื้นที่ทิ้งขยะ ทำเลบ้านที่อยู่ใกล้เคียงโรงงานอุตสาหกรรมหรือพื้นที่ทิ้งขยะมักไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย เพราะมีความเสี่ยงต่อมลภาวะทางน้ำและอากาศสูง 5. ทำเลบ้านไม่อยู่ใกล้ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ทำเลบ้านที่อยู่ใกล้ฟาร์มเลี้ยงสัตว์มักได้รับผลกระทบจากกลิ่นเหม็น และมลภาวะทางเสียง โดยเฉพาะฟาร์มหมู วัว และไก่ 6. ทำเลบ้านไม่อยู่ในทิศทางขึ้น-ลงของเครื่องบิน แม้ทำเลบ้านที่อยู่ใกล้กับสนามบินจะสะดวกต่อการเดินทางไปยังสนามบิน แต่มักได้รับผลกระทบจากมลภาวะทางเสียง โดยเฉพาะทำเลบ้านที่อยู่ในทิศทางขึ้น-ลงของเครื่องบิน 7. ทำเลบ้านไม่อยู่ใกล้เสาไฟฟ้าแรงสูง เสาไฟฟ้าแรงสูงมีขนาดใหญ่กว่าเสาไฟฟ้าทั่วไป และมักติดตั้งอยู่ในพื้นที่โล่งห่างไกลจากครัวเรือน เพื่อเลี่ยงโอกาสเกิดอุบัติเหตุ และการบดบังทัศนียภาพของผู้คน 8. ทำเลบ้านอยู่ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน ทำเลบ้านที่ดีควรอยู่ใกล้กับแหล่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน เพื่อความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต อาทิ ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า หรือตลาด โรงพยาบาล หรือสถานพยาบาล และโรงเรียน หรือสถานศึกษา 9. ทำเลบ้านไม่อยู่ใกล้กับศาสนสถาน ศาสนสถานเป็นศูนย์รวมของคนในชุมชน โดยเฉพาะในเทศกาลต่างๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดเสียงดังรบกวนการอยู่อาศัยได้ 10. แนวโน้มการเติบโตของมูลค่าที่ดิน หากทำเลซื้อบ้านตั้งอยู่บนพื้นที่ที่กำลังเติบโต เช่น อยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้า อยู่ใกล้ทางด่วน หรืออื่นๆ จะส่งผลให้มูลค่าของตัวบ้าน และที่ดินมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ทำเลบ้านที่ดีจะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมีคุณภาพความเป็นอยู่ที่ดีตามไปด้วย และเป็นทรัพย์สินมีค่าที่สามารถตกทอดให้กับลูกหลานได้ แนะนำ 5 โครงการบ้านทำเลดี จากแสนสิริ สำหรับใครที่กำลังมองหาทำเลบ้านเดี่ยวคุณภาพ พลัสฯ ได้รวบรวมโครงการบ้านแสนสิริมาให้ถึง 5 แห่ง ได้แก่ 1. บ้านแสนสิริ สุขุมวิท 67  โครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่มีบ้านในโครงการทั้งหมดเพียง 96 ยูนิต โดยมีขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นตั้งแต่ 394 –…

แนะนำ 8 บ้านหรู 3 ชั้น เพื่อพื้นที่ครอบครัวที่มากขึ้น

ด้วยความต้องการพื้นที่อยู่อาศัยที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ครอบครัวขนาดกลาง-ใหญ่หันมาให้ความสนใจโครงการบ้านเดี่ยว 3 ชั้น มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มโครงการบ้านหรู 3 ชั้น เพราะไม่เพียงตอบโจทย์ความต้องการขนาดพื้นที่อยู่อาศัยที่เพิ่มมากขึ้น แต่ยังมาพร้อมกับเอกลักษณ์ด้านการออกแบบ ทำเลศักยภาพ และสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางในระดับพรีเมียม แนะนำ 8 บ้านหรู 3 ชั้น ปัจจุบันมีโครงการบ้านหรู 3 ชั้น ถือกำเนิดขึ้นหลายแห่งในพื้นที่กรุงเทพฯ โดย 8 บ้านหรูบนทำเลศักยภาพที่น่าสนใจ ได้แก่ 1. LAKE LEGEND Bangna-Suvarnabhumi โครงการบ้านคฤหาสน์ 3 ชั้น ที่มาพร้อมกับวิวทะเลสาบ 100 ไร่ และเน้นออกแบบให้มีความเรียบง่าย ทันสมัย และหรูหราสไตล์อิตาลี โดยมีบ้านให้เลือก 2 แบบ รวมทั้งหมด 127 ยูนิต ดังนี้ Lago Lugano ขนาดพื้นที่ใช้สอย 563 ตารางเมตร คฤหาสน์หรูเล่นระดับ 3 ชั้น 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2 ห้องน้ำแขก 2 ห้องพักผ่อน 1 ห้องน้ำชา ลิฟต์ส่วนตัว สระว่ายน้ำพร้อมอ่างจากุชชี่ ดาดฟ้า 1 ห้องแม่บ้าน และที่จอดรถ 4 – 8 คัน Lago Como ขนาดพื้นที่ใช้สอย 656 ตารางเมตร คฤหาสน์หรูเล่นระดับ 3 ชั้น 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 2 ห้องน้ำแขก 2 ห้องพักผ่อน 1 ห้องน้ำชา, ลิฟต์ส่วนตัว สระว่ายน้ำพร้อมอ่างจากุชชี่ ดาดฟ้า 2 ห้องแม่บ้าน และที่จอดรถ 4 – 8 คัน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เหนือระดับด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางภายในโครงการแบบพรีเมียม ทั้งคลับเฮาส์ขนาดใหญ่ริมทะเลสาบ สระว่ายน้ำความยาว 35 เมตร สระว่ายน้ำสำหรับเด็ก อ่างจากุชชี่ ฟิตเนสมาตรฐานโลก ห้องเด็กเล่น สนามเด็กเล่น ห้องรับรองแขก และอื่นๆ อีกมากมาย ความน่าสนใจของโครงการ คือ โลเคชันอยู่ห่างกับสนามบินสุวรรณภูมิเพียง 5 นาที และติดกับถนนสายสำคัญ…

เทคนิคแต่งคอนโด 2 ห้องนอน ให้สวยน่าอยู่เหมือนบ้าน

โดยทั่วไปคอนโดมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด เมื่อเทียบกับบ้านหลังใหญ่ที่มีพื้นที่มากกว่า แต่การตกแต่งที่เหมาะสมสามารถช่วยให้คอนโดดูกว้างขึ้น ตอบโจทย์การใช้งาน และให้ความรู้สึกอบอุ่นได้ไม่ต่างจากบ้าน ในบทความนี้ พลัสฯ จะพามาเปิดเทคนิคแต่งคอนโด 2 ห้องนอน ให้สวยน่าอยู่เหมือนบ้าน เทคนิคแต่งคอนโด 2 ห้องนอน การตกแต่งคอนโด 2 ห้องนอน ให้สวยน่าอยู่สามารถทำได้ไม่ยาก เพียงทำตาม 5 เทคนิค ได้แก่ 1. แบ่งสัดส่วนห้องอย่างชัดเจน โดยปกติคอนโด 2 ห้องนอน มักมีการสร้างกำแพง และติดตั้งประตู เพื่อแบ่งห้องนอนออกเป็น 2 ห้องอยู่แล้ว แต่บางโครงการอาจไม่ได้มีการแบ่งพื้นที่หรือกั้นห้องครัว ห้องนั่งเล่น และห้องรับประทานอาหารมาให้ด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พื้นที่โดยรวมดูคับแคบ ไม่เป็นระเบียบ และไม่ตอบโจทย์การใช้งาน อย่างไรก็ตาม โครงการส่วนใหญ่ไม่อนุญาตให้มีการสร้างกำแพงขึ้นมาใหม่ เพื่อแบ่งพื้นที่ใช้งานภายในยูนิตห้อง เพราะอาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอาคารโดยรวม แต่ผู้อยู่อาศัยสามารถแบ่งพื้นที่การใช้งานได้ด้วยเทคนิค ดังนี้ ใช้ชั้นวางของ/หนังสือที่มีความสูงเหนือศีรษะเป็นตัวแบ่งพื้นที่การใช้งาน ติดตั้งบานกระจกแบบเลื่อนได้ ติดตั้งผ้าม่านที่มีความยาวตั้งแต่เพดานจรดพื้น 2. เลือกผนังหรือวอลล์เปเปอร์สีอ่อน การทาสีภายในหรือติดตั้งวอลล์เปเปอร์สีอ่อนสามารถช่วยให้ห้องดูกว้าง และโล่งโปร่งมากยิ่งขึ้น เช่น สีขาว สีเบจ สีครีม และสีเทาอ่อน แต่หากต้องการให้ภายในยูนิตห้องมีบรรยากาศอบอุ่นร่วมด้วย แนะนำให้เลือกใช้สีอ่อนโทนอุ่น เช่น สีเหลืองพาสเทล สีเบจ และสีครีม 3. เน้นใช้เฟอร์นิเจอร์ Multi-function เฟอร์นิเจอร์ Multi-function จะช่วยประหยัดพื้นที่ และทำให้ห้องดูเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น เช่น เตียงนอนเก็บของได้ ชั้นวางทีวีแบบมีลิ้นชัก ตู้เสื้อผ้าพร้อมกระจก และอื่นๆ โดยแนะนำให้เลือกสีเฟอร์นิเจอร์ที่เข้ากับสีผนัง เช่น หากต้องการคุมโทนห้องสีขาว แนะนำให้เลือกเฟอร์นิเจอร์สีขาวคู่กับผนังสีขาว ต้องการให้ห้องดูอบอุ่นอาจเลือกเฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาลอ่อน สีครีม และใช้ผนังเป็นสีเบจ 4. เลือกใช้ผ้าม่านและพรมสีอ่อน ผ้าม่าน และพรมสีอ่อนช่วยพรางตาให้ห้องดูโล่งโปร่งมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าม่านแบบบาง เพราะอาจป้องกันความร้อนจากภายนอกได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะยูนิตห้องที่อยู่ชั้นสูง ซึ่งถูกแสงแดดส่องเกือบตลอดทั้งวัน แต่หากต้องการใช้ผ้าม่านแบบบางเพื่อรับแสงแดดธรรมชาติบ้าง แนะนำให้เลือกผ้าม่าน 2 ชั้น ที่มาพร้อมผ้าม่านโปร่งสำหรับรับแสงแดดและผ้าม่านปกติที่อาจเป็น Dim Out หรือ Black Out สำหรับกันแดดและแสงยูวี เพื่อการใช้งานที่ยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศและแสงแดด 5. เลือกใช้พื้นไม้ ด้วยคุณลักษณะของพื้นไม้ที่ช่วยทำให้บรรยากาศดูอบอุ่น การเลือกพื้นไม้จึงเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ทำให้ห้องน่าอยู่มากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องรื้อพื้นเก่าที่โครงการให้มา เพราะสามารถติดตั้งพื้นไม้เทียมหรือกระเบื้องลายไม้แทนได้ อย่างไรก็ตาม การตกแต่งคอนโด 2 ห้องนอน ด้วยตนเองต้องอาศัยทั้งเวลา และงบประมาณค่อนข้างมาก ส่งผลให้ผู้อยู่อาศัยหลายคนเลือกซื้อคอนโด 2 ห้องนอน ตกแต่งสวยพร้อมอยู่ ซึ่งถือเป็นอีกทางเลือกของผู้ที่ไม่สะดวกตกแต่งคอนโดด้วยตนเอง แนะนำคอนโด 2 ห้องนอน ตกแต่งสวยพร้อมอยู่ รวม…

คอนโด Precast คืออะไร และทนกว่าคอนโดทั่วไปจริงหรือไม่?

ด้วยความต้องการที่อยู่อาศัยที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมการก่อสร้างหันมาใช้ Precast ในการสร้างอาคารและบ้านเรือนมากขึ้น รวมถึงคอนโด Precast ด้วยเช่นกัน ซึ่งเริ่มมีให้เห็นเพิ่มขึ้นแล้วในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม บางส่วนยังมองว่าคอนโด Precast ไม่แข็งแรงเท่ากับคอนโดทั่วไป ในบทความนี้ พลัสฯ จะพามาทำความรู้จักคอนโด Precast พร้อมตอบข้อสงสัยยอดฮิตว่า คอนโด Precast ทนกว่าคอนโดทั่วไปจริงหรือไม่? นิยามของคอนโด Precast คอนโด Precast คือ คอนโดที่ใช้วัสดุพรีแคสหรือแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปในการก่อสร้าง โดยพรีแคสได้มาจากการหล่อคอนกรีตเหลวในแม่พิมพ์รูปทรงต่างๆ เพื่อให้ได้คอนกรีตแผ่นสำเร็จรูปที่สามารถนำไปประกอบในไซต์ก่อสร้างได้เลย ข้อดีของคอนโด Precast คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยหันมาให้ความสนใจกับคอนโดพรีแคสมากขึ้น เนื่องจากมีข้อดีหลายประการ อาทิ 1. ความรวดเร็วในการก่อสร้าง การก่อสร้างคอนโดผนัง Precast สามารถทำได้อย่างรวดเร็วมากกว่าคอนโดทั่วไป เพียงนำ Precast มาต่อกันในตำแหน่งที่กำหนดไว้ แล้วทำการเชื่อมแต่ละแผ่นด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การเชื่อมเหล็ก, การใช้นอต และการเทคอนกรีตเชื่อม 2. คุณภาพและมาตรฐานที่แน่นอน การควบคุมคุณภาพ และมาตรฐานการก่อสร้างคอนโด Precast สามารถทำได้อย่างแม่นยำมากกว่า เนื่องจาก Precast เป็นส่วนประกอบที่ผลิตในโรงงาน ซึ่งสามารถควบคุมสภาพแวดล้อม เกรดของคอนกรีต และมาตรฐานการผลิตได้ดี เมื่อเทียบกับการก่อโครงสร้างคอนกรีตในไซต์งาน 3. การควบคุมต้นทุนที่แม่นยำ การใช้ Precast จะช่วยให้ประหยัด และควบคุมต้นทุนได้มากกว่า โดยเฉพาะต้นทุนด้านวัสดุ คนงานก่อสร้าง และอุปกรณ์สำหรับก่อโครงสร้างคอนกรีต 4. ความแข็งแรงและทนทาน คอนโด Precast มีความแข็งแรง และทนทานสูง เนื่องจาก Precast เป็นแผ่นคอนกรีตที่มีความแข็งแรง และมีคุณภาพ อีกทั้งยังทนทานต่อสภาพอากาศ ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด ฝน หรือความชื้น 5. เป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อม การก่อสร้างคอนโด Precast เป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อมมากกว่าการก่อสร้างคอนโดทั่วไป เนื่องจากสร้างฝุ่นน้อย มลภาวะทางเสียงต่ำ และสามารถถอดไปใช้ซ้ำได้หากยังมีสภาพดีอยู่ ด้วยข้อดีเหล่านี้ทำให้คอนโด Precast มีราคาขายที่สามารถจับต้องได้ง่าย ส่งผลให้เป็นที่นิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยทำงาน ข้อจำกัดและความท้าทายของคอนโด Precast อย่างไรก็ตาม คอนโด Precast ยังมีข้อจำกัด และความท้าทายในด้านการก่อสร้างอยู่บ้างเช่นกัน อาทิ 1. ข้อจำกัดด้านการออกแบบ วัสดุ Precast ไม่เหมาะสำหรับการก่อสร้างบ้าน อาหาร หรือคอนโดที่มีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์สูง เนื่องจาก Precast มาพร้อมรูปร่างแบบตายตัว เช่น สี่เหลี่ยมด้านเท่า สี่เหลี่ยมคางหมู และวงกลม นอกจากนี้ วัสดุ Precast ยังไม่เหมาะสำหรับการต่อเติม…

รู้ก่อนเลี้ยง เตรียมตัวให้พร้อมก่อนเลี้ยงสัตว์ในบ้านและคอนโด

‘รักเขาเหมือนลูก’ ‘รักเขาเหมือนคนในครอบครัว’ คำนี้ไม่เกินจริง สำหรับกลุ่มคนที่รักสัตว์และมีสัตว์เลี้ยงอย่างแน่นอน นับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 การกักตัวและมาตรการการล็อกดาวน์ (Lockdown) ส่งผลให้ผู้คนจำนวนมากหันมาเลี้ยงสัตว์มากขึ้นเนื่องจากเป็นที่พึ่งคลายเหงาได้ดี ในวันที่ไม่สามารถพบเจอใครได้ แม้จะผ่านมาแล้วกว่า 2 ปี แต่อัตราการเลี้ยงสัตว์กลับสูงขึ้นต่อเนื่อง จนเกิดเป็น ‘Pet Humanization’ หรือการเลี้ยงสัตว์แบบสมาชิกในครอบครัวอย่าง ‘Pet Parenting’ ทำให้หลายคนหันมาเลี้ยงสัตว์ และอยากมีสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นด้วย แต่บางครั้งก็ติดปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย ทำให้ปัจจุบัน เทรนด์ที่อยู่อาศัยแบบเอื้อต่อสัตว์เลี้ยงมีเพิ่มมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ Pet Lover แต่ก็มีบางครั้งที่เจ้าของมักแอบเลี้ยงเหล่าสัตว์เลี้ยงแสนรักแม้จะไม่ได้รับอนุญาต และก็ยังมีปัญหาอีกมากของการอยู่ร่วมกับระหว่างคนที่เลี้ยงและไม่ได้เลี้ยงสัตว์ แล้วต้องเลี้ยงอย่างไร? อยู่แบบไหน? ต้องมีกฏระเบียบอย่างไรถึงจะมีความสุขทั้งคนและสัตว์เลี้ยงแสนรัก หาคำตอบของการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้ในบทความนี้ แอบเลี้ยงสัตว์ส่งผลเสียอย่างไร มาเริ่มกันที่ข้อเสียของการแอบเลี้ยงสัตว์ นับเป็นเรื่องคลาสสิกที่ทำให้ทั้งคนเลี้ยงและคนรอบข้างได้รับความเดือดร้อนไปตามๆ กัน ส่วนมากการแอบเลี้ยง มักจะเป็นการแอบเลี้ยงของเจ้าของที่อาศัยอยู่คอนโด นอกจากผิดกฎแล้ว ลองมาดูกันว่ามีข้อเสียอะไรอีกบ้าง 1. ปัญหาเรื่องของกลิ่น การจัดการสิ่งปฏิกูล และเสียงของสัตว์เลี้ยง นับเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเรื่องของสุขอนามัย อาจทำให้เกิดการปนเปื้อน แย่กับสุขภาพทั้งเจ้าของและเหล่าน้องๆ แสนรัก อีกทั้งกลิ่นและเสียงอาจรบกวนเพื่อนบ้าน จนสร้างบรรยากาศการอยู่อาศัยที่ไม่ดีให้แก่กัน 2. เพื่อนบ้านที่แพ้ขนสัตว์ แม้จะไม่เจอ หากข้างห้องและเพื่อนร่วมชั้นเป็นภูมิแพ้ เจ้าสารก่อภูมิแพ้สามารถลอยในอากาศจนไปกระตุ้นให้เกิดการแพ้ขึ้นได้ นำไปสู่การถูกจับได้ในที่สุด 3. สัตว์เลี้ยงและเจ้าของเกิดความเครียด ในตอนที่ต้องพาไปหาหมอ ก็ต้องแอบนำน้องใส่กระเป๋าเงียบๆ หากมีคนเข้าลิฟต์แล้วน้องส่งเสียงล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้น? เพราะการแอบเลี้ยงสัตว์ในคอนโดที่ห้ามเลี้ยง เป็นการฝ่าฝืนกฎและอาจถูกปรับหรือต้องนำน้องไปอยู่ที่อื่นได้ ความกดดันจากเรื่องของกลิ่นและเสียงที่อาจรบกวนข้างห้อง อาจทำให้เจ้าของเกิดความเครียด ยิ่งเวลาที่จะต้องออกจากห้องแล้วทิ้งสัตว์เลี้ยงให้อยู่เพียงลำพัง ก็กังวลว่าน้องส่งเสียงรบกวนหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นพื้นที่ที่จำกัด สำหรับน้องๆ บางตัวอาจทำให้รู้สึกอึดอัดจนเกิดความเครียดจนอาจ ทำลายข้าวของ กัดเฟอร์นิเจอร์ได้ 4. ผิดกฎระเบียบ ถูกปรับ หรือต้องย้ายออก แม้การฝ่าฝืนกฎหรือข้อบังคับคอนโดจะไม่ได้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่การแอบเลี้ยงสัตว์ในคอนโด ก็ยังเป็นเรื่องที่ผิดอยู่ดี แม้สัตว์ที่เราเลี้ยงจะไม่มีพิษ และไม่สามารถลอดช่องประตูออกมาได้ แต่หากข้างห้องผู้แพ้ขนสัตว์ร้องเรียน อาจลุกลามบานปลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ทำให้ต้องใช้นิติบุคคลเข้ามาไกล่เกลี่ย แต่ในเมื่อผิดข้อบังคับตั้งแต่แรก การโต้แย้งของคุณก็อาจไม่มีน้ำหนักมากพอนั่นเอง เห็นได้ชัดว่าการแอบเลี้ยงสัตว์ในคอนโด แม้จะไม่ผิดกฎหมาย แต่ก็สร้างความเดือดร้อนรำคาญใจให้กับทั้งตัวเจ้าของ น้องๆ และผู้อาศัยร่วมด้วยนั่นเอง รักต้องรู้ เตรียมตัวให้พร้อมก่อนเลี้ยงสัตว์ หลังจากทราบข้อเสียของการแอบเลี้ยงสัตว์ในคอนโดไปแล้ว มาดูกันว่า หากเราต้องการเลี้ยงสัตว์ในคอนโด เราต้องเลือกคอนโดแบบไหน มีคุณสมบัติอะไรบ้าง เพื่อให้เราและน้องๆ ได้อยู่แบบมีความสุข ไม่เดือดร้อนเพื่อนบ้านและไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ 1. หากจะอยู่คอนโดต้องเลือกคอนโดที่เลี้ยงสัตว์ได้ หากจะอยู่คอนโดสำคัญที่สุดและเป็นข้อแรกที่ต้องคำนึงก่อนเลือกซื้อคอนโด หรือเช่าคอนโด ต้องหาคอนโดที่อนุญาตให้สามารถเลี้ยงน้องสัตว์ได้ โดยอาจเลือกจาก คอนโดที่มีประกาศ หรือชี้แจงอย่างเป็นทางการ ไม่ว่าด้วยการโฆษณาเปิดโครงการ หรือข้อมูลทางเว็บไซต์ที่เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ทางโครงการนี้อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้ เพราะนอกจากจะทำให้ คนที่เลือกซื้อ หรือเช่าคอนโดนี้ทุกคนรับทราบและยอมรับได้ที่มีเพื่อนบ้านเลี้ยงน้องหมาหรือแมว โดยปกติแล้วคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้จะมีเงื่อนไข กฎการอยู่อาศัยร่วมกัน ดังนี้ ส่วนใหญ่จะไม่ให้เลี้ยงพันธุ์ที่มีพฤติกรรมดุร้าย และอนุญาตเลี้ยงสัตว์พันธุ์เล็กเท่านั้นเช่นสุนัขพันธุ์…

รีไฟแนนซ์คอนโด คืออะไร ช่วยลดภาระได้จริงไหม ?

การกู้ซื้อคอนโดเป็นความรับผิดชอบทางการเงินในระยะยาว โดยต้องใช้เวลาในการผ่อนอย่างน้อย 5-10 ปี ส่งผลให้หลายคนเลือกรีไฟแนนซ์คอนโด เพื่อช่วยลดภาระทางการเงิน และได้กรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของคอนโดไวขึ้น ในบทความนี้ พลัสฯ จะพามาเจาะลึกเกี่ยวกับการรีไฟแนนซ์คอนโด พร้อมแนะนำขั้นตอน และเงื่อนไขต่างๆ ที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์ การรีไฟแนนซ์คอนโด คืออะไร? การรีไฟแนนซ์คอนโด คือ การย้ายสินเชื่อคอนโดจากธนาคารเดิมไปยังธนาคารใหม่ เพื่อให้ได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง โดยส่วนใหญ่ธนาคารจะอนุญาตให้ผู้กู้รีไฟแนนซ์ได้หลัง 3 ปี ซึ่งมีการระบุรายละเอียดไว้ในสัญญากู้ซื้อคอนโด 💸 ประโยชน์ของการรีไฟแนนซ์คอนโด แม้จะเป็นการเปลี่ยนสินเชื่อจากธนาคารหนึ่งไปอีกธนาคารหนึ่ง แต่การรีไฟแนนซ์ช่วยให้ผู้กู้ได้รับผลประโยชน์ในหลายด้าน ได้แก่ 1. ลดอัตราดอกเบี้ย การรีไฟแนนซ์ช่วยให้ผู้กู้ทำสัญญากับธนาคารใหม่ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าธนาคารปัจจุบันได้ ซึ่งช่วยลดภาระหนี้สินต่อเดือน ส่งผลให้โอกาสผิดนัดชำระน้อยลง 2. เปลี่ยนประเภทอัตราดอกเบี้ย ผู้กู้สามารถเลือกประเภทอัตราดอกเบี้ยได้ใหม่ในการรีไฟแนนซ์ เช่น เปลี่ยนจากอัตราดอกเบี้ยลอยตัวไปเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ ซึ่งสามารถพิจารณาความเหมาะสมได้จากสภาวะเศรษฐกิจ และสภาพคล่องทางการเงินของผู้กู้เอง 3. โอกาสในการถอนเงินจากมูลค่าส่วนต่าง (Cash-out Refinance) ธนาคารบางแห่งเปิดให้บริการ “รีไฟแนนซ์คอนโดเพิ่มวงเงิน (Cash-Out Refinance)” โดยผู้กู้สามารถยื่นขอวงเงินกับธนาคารได้เทียบเท่ากับมูลค่า ณ ปัจจุบันของคอนโด ซึ่งจะต้องมากกว่ายอดกู้เดิม เพื่อให้สามารถนำส่วนต่างออกมาเป็นเงินสดได้ 4. ปรับเปลี่ยนระยะเวลาการผ่อน เนื่องจากการรีไฟแนนซ์เป็นการทำสัญญาใหม่กับธนาคารใหม่ ดังนั้นผู้กู้จึงสามารถเปลี่ยนระยะเวลาการผ่อนได้ เช่น สัญญาเดิมกำหนดระยะเวลาการผ่อนไว้ที่ 30 ปี ผู้กู้สามารถเปลี่ยนให้เหลือเพียง 20 ปี ได้ ซึ่งจะช่วยให้เป็นเจ้าของคอนโดได้ไวขึ้น โดยรายละเอียดการรีไฟแนนซ์อาจแตกต่างกันออกไปเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดสินเชื่อคอนโดของธนาคารแต่ละแห่ง เงื่อนไขและคุณสมบัติในการรีไฟแนนซ์คอนโด ธนาคารส่วนใหญ่ในประเทศไทยได้กำหนดเงื่อนไข และคุณสมบัติของผู้กู้รีไฟแนนซ์เอาไว้ ดังนี้ 1. ระยะเวลาที่ผ่อนมาแล้ว ในการกู้ซื้อคอนโด ธนาคารมักกำหนดระยะเวลารีไฟแนนซ์ไว้ที่ 3 ปี กล่าวคือ หากผู้กู้ผ่อนชำระกับธนาคารไม่ครบ 3 ปี หรือมากกว่า ผู้กู้จะไม่สามารถรีไฟแนนซ์กับธนาคารแห่งใหม่ได้ ยกเว้นกรณีที่ผู้กู้ตกลงเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนดและถูกระบุไว้ในสัญญา 2. ประวัติการผ่อนชำระ โดยทั่วไปของการรีไฟแนนซ์ ธนาคารใหม่จะพิจารณาการอนุมัติสินเชื่อจากประวัติการผ่อนชำระกับธนาคารเดิมร่วมด้วย โดยผู้กู้จะต้องมีเครดิตสกอร์ (Credit Score) อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งอาจแตกต่างกันออกไปตามนโยบายของธนาคารนั้นๆ 3. มูลค่าปัจจุบันของคอนโด ธนาคารใหม่จะทำการประเมินมูลค่าปัจจุบันของคอนโดอีกครั้ง  เพื่อการคำนวณวงเงินกู้สูงสุดในการรีไฟแนนซ์ และเปิดโอกาสให้ผู้กู้ได้รับผลประโยชน์จากส่วนต่างในกรณีที่มูลค่าคอนโดเพิ่มขึ้น 4. รายได้และความสามารถในการผ่อน อีกหนึ่งคุณสมบัติที่ธนาคารใหม่ใช้พิจารณาการอนุมัติวงเงิน คือ รายได้ และความสามารถในการผ่อนของผู้กู้ มีอายุงานในบริษัทหรือองค์กรปัจจุบันอย่างน้อย 3 เดือน มีภาระหนี้รวมต่อเดือนไม่เกิน 30% ซึ่งรายละเอียดคุณสมบัติเหล่านี้อาจแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับนโยบายของธนาคารแต่ละแห่ง โดยธนาคารใหม่ที่ทำการรีไฟแนนซ์มีแนวโน้มอนุมัติวงเงินให้กับผู้กู้มีคุณสมบัติครบถ้วน และมีประวัติการผ่อนชำระที่ดีกับธนาคารเดิม ขั้นตอนการรีไฟแนนซ์คอนโด ในกรณีที่ตัดสินใจรีไฟแนนซ์คอนโดแล้ว ผู้กู้มีขั้นตอนที่จะต้องดำเนินการ ดังนี้ 1. การเปรียบเทียบข้อเสนอจากธนาคารต่างๆ ปัจจุบันธนาคารมากมายมีบริการรีไฟแนนซ์…

ฟรีแลนซ์ กู้ซื้อบ้านได้ไหม? ไขข้อสงสัยคนทำอาชีพอิสระ

ปัจจุบันคนรุ่นใหม่นิยมหันมาประกอบอาชีพอิสระ หรือฟรีแลนซ์ (Freelance) กันมากขึ้น เพราะมีอิสระในการทำงาน ความยืดหยุ่นด้านเวลา และโอกาสในการสร้างรายได้ที่ไม่จำกัด อย่างไรก็ตาม หลายคนยังมีข้อกังวลว่า “ฟรีแลนซ์ กู้ซื้อบ้านได้หรือไม่?” เนื่องจากการขอสินเชื่อบ้านจากธนาคารมักต้องใช้สลิปเงินเดือนที่ออกโดยบริษัท ในบทความนี้ พลัสฯ จะพามาไขข้อสงสัยว่า ไม่มีสลิปเงินเดือนซื้อบ้านได้ไหม? พร้อมแนะนำวิธีขอสินเชื่อบ้านให้ผ่านฉลุย ฉบับผู้ที่อยากซื้อบ้านแต่ไม่มีสลิปเงินเดือน ฟรีแลนซ์ กู้ซื้อบ้านได้ไหม? หนึ่งในปัจจัยที่ธนาคารใช้ในการพิจารณาเพื่ออนุมัติสินเชื่อบ้าน คือ สลิปเงินเดือน เนื่องจากเป็นหลักฐานแสดงรายได้ที่ชัดเจนและมั่นคง ส่งผลให้พนักงานประจำที่มีสลิปเงินเดือนสามารถกู้ซื้อบ้านได้ง่ายกว่า เมื่อเทียบกับกลุ่มอาชีพอิสระ ทั้งนี้ ฟรีแลนซ์สามารถกู้ซื้อบ้านได้ไม่ต่างจากพนักงานประจำ เพียงแค่ต้องอาศัยเอกสารอื่นๆ เพื่อยืนยันรายได้และความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย วิธีขอสินเชื่อให้อาชีพอิสระกู้ซื้อบ้านผ่านฉลุย แน่นอนว่า การขอสินเชื่อบ้านของฟรีแลนซ์ย่อมมีความแตกต่างจากพนักงานประจำ โดยฟรีแลนซ์จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมและเอกสารสำคัญ ดังนี้ 1. รายการเดินบัญชีย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือน โดยทั่วไปธนาคารจะขอดู Statement หรือรายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6-12 เดือน เพื่อใช้สำหรับตรวจสอบความต่อเนื่อง และจำนวนรายได้ที่เข้ามาในแต่ละเดือนของผู้กู้ ซึ่งสามารถติดต่อธนาคารที่ใช้บริการเพื่อขอรายการเดินบัญชีย้อนหลังได้ ทั้งนี้ ผู้กู้ควรสร้างรายการเดินบัญชีย้อนหลังให้ดูดี ซึ่งช่วยสะท้อนรายได้ที่สม่ำเสมอและความมั่นคงทางการเงิน เช่น การรับงานจ้างผู้ว่าจ้างเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้มีรายได้เข้ามาเป็นประจำ การชำระหนี้บัตรเครดิต หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ให้ตรงเวลา และไม่ปล่อยให้เงินคงเหลือในบัญชีติดลบ 2. หนังสือรับรองหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) หนังสือรับรองหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) เปรียบเสมือนใบเสร็จที่ได้จากการทำงาน ซึ่งควรได้รับจากผู้ว่าจ้างทุกครั้ง โดยปกติจะใช้เป็นเอกสารประกอบการยื่นภาษีประจำปีและการขอสินเชื่อบ้านจากธนาคาร (ย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือน) เพื่อแสดงแหล่งที่มาของรายได้ ประเภทเงินได้ จำนวนรายได้ และจำนวนเงินที่ถูกหักเป็นภาษี ณ ที่จ่าย 3. บัตรประจำตัววิชาชีพ ทะเบียนการค้า หรือทะเบียนพาณิชย์ บัตรประจำตัววิชาชีพ ทะเบียนการค้า และทะเบียนพาณิชย์เป็นเอกสารยืนยันการประกอบอาชีพ โดยพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์สามารถใช้การบันทึกภาพหน้าจอเฟสบุ๊ค อินสตาแกรม เว็บไซต์ หรือแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ ที่ใช้ในการค้าขาย เพื่อยืนยันการประกอบอาชีพแทนได้ 4. หลักฐานการเสียภาษี ตามกฎหมาย บุคคลที่มีรายได้จะต้องทำการเสียภาษีประจำปีต่อกรมสรรพากร ซึ่งหลักฐานการเสียภาษี หรือ ภงด. 90 จะต้องนำมาประกอบการขอสินเชื่อบ้านจากธนาคารด้วย เพื่อแสดงจำนวนรายได้และ ที่มาของรายได้ตลอดทั้งปี 5. ไม่ติดเครดิตบูโร โดยปกติธนาคารมักจะไม่อนุมัติสินเชื่อบ้านให้กับผู้ที่ติดเครดิตบูโร อันเป็นประวัติการชำระหนี้ที่ไม่ดีของบุคคล อาทิ ผิดนัดชำระหนี้ ถูกศาลสั่งให้ชำระหนี้ มีหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน หรือมีหนี้สูญที่สถาบันทางการเงินไม่สามารถติดตามทวงถามได้ และอื่นๆ ซึ่งเครดิตบูโรรวบรวมและจัดเก็บโดยบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หากติดเครดิตบูโรอยู่ แนะนำให้ทำการชำระหนี้คืนกับสถาบันทางการเงินนั้นๆ…

รวม 10 ไอเดียแต่งคอนโด ให้ห้องดูกว้างเป็นระเบียบ

คอนโดเป็นอีกหนึ่งทางเลือกการอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ เพราะอำนวยความสะดวกให้กับชีวิตได้ในหลายๆ ด้าน แต่ด้วยขนาดพื้นที่จำกัดอาจทำให้ห้องดูรกและคับแคบได้ หากไม่ได้รับการจัดระเบียบ และตกแต่งอย่างเหมาะสม ในบทความนี้ พลัสฯ ขอมาเอาใจชาวคอนโดด้วย 10 ไอเดียแต่งคอนโด เพื่อช่วยให้ห้องดูกว้าง เป็นระเบียบ และน่าอยู่มากยิ่งขึ้น พร้อมแนะนำ 5 คอนโดตกแต่งครบ พร้อมอยู่   รวม 10 ไอเดียแต่งคอนโด การแต่งคอนโดสวยๆ สามารถทำได้ไม่ยาก เพียงทำตาม 10 ไอเดีย ดังนี้ 1. เลือกใช้สีผนังห้องโทนกลาง-โทนสว่าง การเลือกใช้สีผนังโทนกลาง-สว่างจะช่วยให้ห้องดูโล่งโปร่ง สบายตา และอบอุ่นมากกว่าผนังสีโทนทึบ ยกตัวอย่างสีขาว สีเบจ สีเทาอ่อน และสีฟ้าอ่อน เป็นต้น โดยสามารถเปลี่ยนสีผนังได้ 2 วิธี คือ ใช้สีทาภายใน และติดวอลล์เปเปอร์ผนัง ซึ่งการติดวอลล์เปเปอร์จะช่วยให้การเปลี่ยนสีผนังภายในอนาคตสะดวกมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถเข้าอยู่ได้เลย ไม่ต้องรอสีแห้งและไม่ทิ้งกลิ่นสี 2. เลือกเฟอร์นิเจอร์ Multi-Function เฟอร์นิเจอร์ Multi-Function เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เช่น เตียงนอนที่มีลิ้นชักเก็บของด้านใต้ ตู้เสื้อผ้าที่มาพร้อมโต๊ะเครื่องแป้ง เก้าอี้มีช่องเก็บของด้านใน และอื่นๆ โดยการใช้เฟอร์นิเจอร์เหล่านี้จะช่วยให้เก็บของได้อย่างมีระเบียบมากยิ่งขึ้น พร้อมลดการวางของกระจัดกระจายที่ทำให้ห้องดูรกและแคบ 3. เลือกใช้ผ้าม่าน 2 ชั้น (ผ้าม่านทึบ-ผ้าม่านโปร่ง) ข้อดีของผ้าม่าน 2 ชั้น คือ สามารถเลือกปิดผ้าม่านทึบได้ในเวลากลางวันที่แดดจัด และสามารถเลือกปิดผ้าม่านโปร่งได้ในช่วงเย็น-กลางคืน ซึ่งผ้าม่านทึบจะช่วยลดความร้อน และรังสียูวีที่เข้ามาในห้อง ในขณะที่ผ้าม่านโปร่งจะช่วยให้ห้องดูโล่ง สบายตา และทำให้แสงธรรมชาติเข้ามาในห้องได้มากยิ่งขึ้น 4. ตกแต่งผนังด้วยกระจกเงา การตกแต่งผนังด้วยกระจกเงาจะช่วยพรางตาให้ห้องดูมีพื้นที่มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมใช้ในการตกแต่งคอนโดขนาดเล็ก และอะพาร์ตเมนต์ที่มีพื้นที่จำกัด 5. กั้นห้องด้วยกระจกใส การกั้นห้องจะทำให้พื้นที่อยู่อาศัยเป็นสัดส่วนมากยิ่งขึ้น โดยให้เลือกใช้บานเลื่อนที่เป็นกระจกใสแทนประตูไม้ หรือประตูพลาสติกที่มีความทึบ เพราะกระจกใสมีความโปร่งแสง ซึ่งจะทำให้ห้องดูกว้างขึ้นและไม่อึดอัด 6. เลือกใช้โต๊ะ ตู้ และชั้นวางของติดผนัง นอกจากโต๊ะ ตู้ และชั้นวางของติดผนังจะช่วยเพิ่มพื้นที่จัดเก็บของใช้ต่างๆ ได้แล้ว ยังช่วยให้ไม่เปลืองพื้นที่บนพื้น ส่งผลห้องดูกว้างขึ้น 7. จัดเฟอร์นิเจอร์เข้ามุม การจัดเฟอร์นิเจอร์เข้ามุมจะช่วยเพิ่มพื้นที่ให้ห้องได้มากกว่าการจัดเฟอร์นิเจอร์ไว้ตรงกลางห้อง ส่งผลให้ห้องดูเป็นระเบียบ กว้างขวาง และสามารถใช้งานเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ได้อย่างสะดวก 8. ไม่ตกแต่งผนังเยอะจนเกินไป การตกแต่งผนังเยอะจนเกินไปอาจทำให้ห้องดูรกและคับแคบ อีกทั้งยังช่วยให้ทำความสะอาดได้ง่าย และสะดวกต่อการเปลี่ยนสไตล์การตกแต่งห้อง 9. เลือกใช้ไฟดาวน์ไลท์ แทนการใช้โคมระย้า หรือโคมไฟตั้งพื้น ไฟดาวน์ไลท์ คือ ไฟที่ออกแบบมาสำหรับการติดตั้งบนฝ้าเพดาน เพื่อให้แสงสว่างส่องลงมาบนพื้น ซึ่งช่วยประหยัดพื้นที่ห้องได้มากกว่าโคมไฟแบบตั้งพื้น ในขณะที่โคมระย้า หรือแชนเดอเลียร์จะทำให้เพดานห้องดูต่ำและคับแคบ…