เงินสมทบกรณีชราภาพ ประกันสังคม เลือก บำเหน็จหรือบำนาญ

เงินสมทบกรณีชราภาพ ประกันสังคม ยอมจบที่บำเหน็จ หรือ ส่งต่อจนได้บำนาญ เลยลองคิดเล่นๆ ว่า หรือเราจะลาออกจากการเป็นผู้ประกันตน เพื่อคงสิทธิรับเงินบำเหน็จประกันสังคม ตอนอายุ 55 ปี จะดีกว่าไหม เพราะได้เงินก้อน และไม่ต้องลุ้นด้วยว่า ประกันสังคมจะมีเงินจ่ายบำนาญให้เราไปจนตายหรือไม่ เพราะประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบเข้าทุกที เท่ากับว่า อีกหน่อยถ้าผู้ประกันตนเกษียณอายุมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วทุกคนเลือกรับบํานาญประกันสังคมเหมือนกัน แต่คนทำงานที่จะส่งเงินเข้ากองทุนกลับมีน้อยลง เงินในกองทุนอาจจะร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ ก็ได้… ใครจะไปรู้ ประกันสังคม กับ สิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ ก่อนจะไปตัดสินใจเลือกบำเหน็จ หรือ จากประกันสังคม หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า ถ้าเราเป็นผู้ประกันตนภาคบังคับ (มาตรา 33) หรือลูกจ้างอย่างเราๆ ที่ทุกเดือนจะถูกหักเงิน 5% ของค่าจ้างไปสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม โดยกำหนดฐานค่าจ้างขั้นต่ำไว้ที่ 1,650 บาท และสูงสุดอยู่ที่ 1.5 หมื่นบาท แปลว่า ต่อให้เราเงินเดือนมากกว่า 1.5 หมื่นบาท ก็จะถูกหักเงินสมทบกองทุนเพียงเดือนละ 750 บาท เงิน 750 บาท ไม่ได้หายไปไหน แต่จะถูกกระจายไปสมทบไว้เป็นสิทธิประโยชน์ในแต่ละกรณี โดยแยกได้ดังต่อไปนี้- 1.5% ของค่าจ้าง หรือสูงสุด 225 บาท จะเก็บไว้สำหรับกรณีเจ็บป่วยหรือประสบอันตราย+กรณีคลอดบุตร+กรณีทุพพลภาพ+กรณีเสียชีวิต – อีก 0.5% ของค่าจ้าง หรือสูงสุด 75 บาท จะเก็บไว้สำหรับกรณีว่างงาน – ขณะที่ 3% ของค่าจ้าง หรือสูงสุด 450 บาท จะเก็บไว้เป็นเงินสมทบกรณีชราภาพ และนอกจากเงินที่ลูกจ้างสมทบให้แล้ว นายจ้างสมทบยังช่วยสมทบให้อีกเท่าตัว นอกจากนี้บางกรณีรัฐบาลยังร่วมสมทบให้อีกแรง (ยกเว้นเงินสมทบกรณีชราภาพ) สำหรับเงินชราภาพเริ่มมีการสมทบมาตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค. 2541 ทำให้ในแต่ละเดือน เราจะมีเงินเก็บไว้ใช้ในกรณีชราภาพสูงสุด 900 บาท โดยเป็นส่วนของลูกจ้าง 450 บาท และนายจ้าง 450 บาท ซึ่งเงินส่วนนี้จะกลายมาเป็นบำเหน็จ หรือบำนาญ แล้วแต่ว่าเราเข้าเงื่อนไขด้านไหน เงินบำเหน็จประกันสังคม… หลักแสน ถ้าจะให้ได้บำเหน็จชราภาพต้องเข้าเงื่อนไข 3 ข้อนี้ คือ1. จ่ายเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน 2. ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง 3. มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือเป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย แม้จะได้เข้าเงื่อนไขนี้แล้ว แต่ก็อาจจะได้บำเหน็จไม่เท่ากัน…
9 เรื่องรู้ไว้จะได้ไม่ผิดใจกับคนข้างๆ (บ้าน)

ช่วงนี้หลายคนหยุดอยู่บ้าน Work From Home กันซะเป็นส่วนใหญ่ และในบางโครงการพื้นที่ส่วนกลาง สโมสรก็ปิดกั้นพื้นที่เพื่อสร้าง Social Distancing กัน หรือบางคนต้องกักตัวอยู่แต่ในบ้านในระยะนี้ ดังนั้นการใช้เวลาที่บ้านหรือคอนโดจึงมีมากกว่าปกติ เมื่อเราอาศัยอยู่ร่วมกับคนหมู่มากก็เป็นธรรมดาที่ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้าง บางครั้งอาจจะเกิดจากปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ กระทำไปด้วยความเผลอไผล ไม่รู้ หรือไม่ตั้งใจ จนอาจบานปลายไปถึงขั้นต้องใช้กฎหมายเข้ามายุติปัญหา ดังนั้น ก่อนที่จะเกิดปัญหาเรามาหาทางป้องกัน การศึกษาแนวทางทำความเข้าใจไว้ก่อน เพื่อให้ไม่มีปัญหาตามมาหรือเกิดความขัดแย้งน้อยที่สุด พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จึงรวบรวมปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ เพื่อที่จะได้ระมัดระวังไม่ไปละเมิดสิทธิเพื่อนบ้านให้ขุ่นเคืองใจกัน ใครๆ ก็อยากอยู่ร่วมกันอย่างสบายใจ จริงไหมครับ 1. สุดขอบชิดเขต (บ้าน) เขตกรรมสิทธิ์ที่ดินตามหลักกฎหมายเรียกว่า “แดนกรรมสิทธิ์” หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่ทราบว่าขอบเขตและกรรมสิทธิ์ในที่ดินไม่ใช่แค่เพียงบนพื้นดินเท่านั้น ยังรวมไปถึงใต้ดินอีกด้วย ดังนั้นการสร้างสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของคนอื่น ทั้งบนดินหรือใต้ดินก็ดีล้วนแต่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น ซึ่งในกรณีที่ต้องการจะสร้างหรือต่อเติม ควรเว้นระยะถอยร่นจากเขตแดนกรรมสิทธิ์ ดังนี้ 1) อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ผนังหรือระเบียงต้องอยู่ห่างเขตที่ดินไม่น้อยกว่า 2 เมตร 2) อาคารที่มีความสูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ผนังหรือระเบียงต้องอยู่ห่างเขตที่ดินไม่น้อยกว่า 3 เมตร 3) แต่ถ้าระยะถอยร่นน้อยกว่าที่กำหนด ก็ต้องก่อสร้างเป็นผนังทึบตลอดแนวด้านนั้นและผนังหรือระเบียงต้องอยู่ห่างเขตที่ดินไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร หากต้องการก่อสร้างชิดแนวเขตที่ดินของผู้อื่น จะต้องให้เจ้าของที่ดินแปลงนั้นเซ็นต์ยินยอมและต้องก่อสร้างเป็นผนังทึบตลอดแนวด้านนั้นและมีความสูงไม่เกิน 15 เมตร 2. มีรั้วกั้นแต่ต้องร่วมกันช่วยรักษา ตามหลักกฎหมายแล้วรั้วกำแพง รั้วต้นไม้ หรือคูน้ำ ที่กั้นระหว่างบ้านนั้นถือว่าเป็นเจ้าของร่วมกัน ต้องรับผิดชอบการดูแลซ่อมแซมทั้งคู่ การรื้อถอนหรือดัดแปลงจะทำโดยพลการไม่ได้ นอกจากนี้ในบางพื้นที่มีการกำหนดวัสดุสำหรับใช้ในการสร้างรั้ว และยังมีข้อกำหนดเกี่ยวกับความสูงของรั้ว โดยความสูงของรั้วหน้าบ้านต้องไม่เกิน 1.20 เมตร รั้วหลังบ้านไม่เกิน 1.80 เมตร และรั้วต้นไม้สูงได้ไม่เกิน 2.40 เมตร ในกรณีที่ต้องการสร้างหรือต่อเติมให้สูงยิ่งขึ้นไปอีกสามารถทำได้บนที่ดินของตนเองแต่ต้องมีความสูงไม่เกิน 3 เมตร แม้เพื่อนบ้านไม่ยินยอมก็ตาม เพราะถือว่าสร้างบนเขตที่ดินของเราเอง 3. น้ำฝนจากหลังคาตกลงมาที่บ้านเขา น้ำฝนจากหลังคาหรือรางน้ำฝน หากตกลงไปบ้านข้างเคียงอาจก่อให้เกิดปัญหาอย่าง “ดินเกิดการกัดเซาะ” “มีน้ำท่วมขังจนระบายไม่ทัน” หรือแม้แต่น้ำที่กระเซ็นไปโดนสิ่งของของข้างบ้านจนเกิดความเสียหาย ซึ่งผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนและฟ้องร้องให้มีการรื้อถอนได้อีกด้วย 4. วิวทิวทัศน์เห็นไม่ชัดเพราะบ้านบัง วิวทิวทัศน์ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยของการเลือกที่อยู่อาศัย แต่ถ้าหากเพื่อนบ้านต่อเติมหรือสร้างสิ่งปลูกสร้าง รวมไปถึงการปลูกต้นไม้ที่บดบังวิวทิวทัศน์ก็สามารถยื่นฟ้องร้องได้ นอกจากนี้กฎหมายท้องถิ่นมีการห้ามสร้างสิ่งปลูกสร้างที่อาจกีดขวางหรือบดบังความสวยงามของทะเลและป่าเขา ซึ่งเป็นวิวทิวทัศน์ของส่วนรวม ในส่วนของผู้ที่อยู่อาศัยในคอนโด แม้เรื่องวิวอาจจะไม่ได้สร้างความเดือนร้อนให้เพื่อนข้างห้อง แต่การสร้างภาพลักษณ์บริเวณระเบียงห้องของตนเอง เช่น การตากแขวนเสื้อผ้า การวางของต่างๆ ที่ทำให้ทัศนียภาพการมองเห็นเมื่อมองเข้ามาดูไม่สวยงาม ก็เป็นเรื่องที่ควรใส่ใจนะครับ เพราะถือเป็นการร่วมกันรักษามูลค่าให้กับคอนโดเช่นกัน 5. ผลไม้เขา เราไม่เด็ด ดอกหรือผลที่โตข้ามเขตบ้านแต่ไม่ได้ร่วงหล่นเองตามธรรมชาติไม่สามารถเด็ดได้ เพราะถือเป็นกรรมสิทธิ์เจ้าของต้นไม้ มีความทางอาญาเลยทีเดียว กรณีที่ปลูกต้นไม้หรือไม้เลื้อยไว้ริมรั้วแล้วเกิดแตกกิ่งก้านตลอดจนส่วนของรากยื่นเข้ามาในเขตบ้าน เจ้าของบ้านสามารถขุดรากและตัดกิ่งก้านออกได้เลย แต่จะทำลายทิ้งทั้งต้นไม่ได้…
ปัญหาที่จอดรถไม่พอ เรื่องยอดฮิตของชาวคอนโด

ดูเหมือนว่าปัญหาเรื่องที่จอดรถคอนโดไม่เพียงพอจะยังเป็นเรื่องกวนใจอันดับต้นๆ และเป็นปัญหาคลาสสิก ของผู้อยู่อาศัยในคอนโด เพราะเรื่องนี้เองไม่มีสูตรสำเร็จในการแก้ปัญหาแบบตายตัวเพราะต่อให้บางโครงการมีที่จอดรถเพียงน้อยนิด แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหากับผู้อยู่อาศัย แต่ในขณะที่บางโครงการมีที่จอดรถให้ 100% แต่กลับมีปัญหามากกว่าก็เป็นได้ ปัญหาเหล่านี้สามารถบริหารจัดการได้จริงหรือไม่? แล้วใครเป็นคนแก้ปัญหานี้? Plus Property หาคำตอบมาให้แล้วตามไปดูพร้อมๆ กันครับ การจัดการที่จอดรถภายในคอนโดแต่ละแห่งนั้นต่างก็เลือกใช้วิธีบริหารจัดการที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นการที่หลายๆ คนมักจะตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดมิเนียมโดยดูจากพื้นที่จอดรถที่มีพื้นที่มากๆ จึงอาจจะไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องทั้งหมด (ยกเว้นว่าคอนโดมิเนียมแห่งนั้นจะมี Private Parking ไว้รองรับ) ดังนั้นเรื่องที่จอดรถไม่เพียงพอจึงไม่ได้ขึ้นกับจำนวนพื้นที่เท่านั้น แต่ประกอบด้วยหลายปัจจัย เช่น ทำเลที่ตั้งของคอนโดมิเนียมที่เลือกซื้อก็มีผลต่อพื้นที่จอดรถ เพราะหากเลือกซื้อคอนโดมิเนียมที่สามารถเดินถึงระบบขนส่งทางราง เช่น BTS หรือ MRT ก็จะพบว่าคอนโดเหล่านี้มีปริมาณรถที่มาจอดไม่หนาแน่นเท่ากับคอนโดมิเนียมที่อยู่ไกลออกไปจนไม่สามารถเดินถึงระบบขนส่งสาธารณะ ผู้คนที่อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมแห่งนั้นก็มีผลต่อความหนาแน่นของที่จอดรถเช่นกัน หากคอนโดมิเนียมอยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้า และมีต่างชาติมาเช่าอยู่จำนวนมาก ก็จะยิ่งทำให้ที่จอดรถไม่หนาแน่น เพราะต่างชาติส่วนใหญ่จะไม่นิยมขับรถ แต่สิ่งสำคัญมากที่สุดก็คือ การบริหารจัดการของนิติบุคคลที่มีประสิทธิภาพถือว่ามีผลต่อภาพรวมของการดูแลคอนโดมิเนียมทั้งระบบ สำหรับวิธีแก้ปัญหาเรื่องพื้นที่จอดรถของคอนโดมิเนียมนั้นคือการทำสติ๊กเกอร์ หรือการเก็บค่าจอดรถในบางกรณี แต่ส่วนใหญ่ก็ยังมีปัญหาอยู่ เพราะบางโครงการที่ผู้ดูอาคารออกระเบียบเพื่อควบคุมอาคาร โดยการกำหนดสติ๊กเกอร์สำหรับจอดรถห้องละ 1 คัน เช่น โครงการ A มีจำนวนห้องชุด 100 ห้อง มีพื้นที่จอดรถ 70% ของจำนวนห้อง ดังนั้นหากทุกห้องมีรถห้องละ 1 คัน ก็หมายความว่า จะต้องมีรถ 30 คันที่ไม่สามารถเข้าจอดในพื้นที่ได้ แต่หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ทางนิติบุคคลก็จะอนุญาตให้จอดซ้อนคันหรือ จอดรอบอาคารได้ แต่ปัญหามักมีอยู่ว่า เจ้าของห้องชุดส่วนใหญ่จะมีรถยนต์มากกว่าห้องละ 1 คัน ซึ่งนี่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทุกอย่าง โดยเฉพาะการทำสติ๊กเกอร์ปลอม หรือที่เรียกว่า สติ๊กเกอร์ผี ขึ้นมา ซึ่งปัญหานี้สามารถบริหารจัดการได้ด้วยการให้เจ้าของห้องชุดมาลงทะเบียนทำสติ๊กเกอร์ใหม่ โดยให้นำเล่มทะเบียนรถยนต์มาด้วยเพื่อนับจำนวนรถจริงๆ และมีการเรียกเก็บค่าทำสติ๊กเกอร์ใหม่เพื่อให้ได้จำนวนผู้ที่ใช้รถจริงโดยอาจจะกำหนดค่าทำสติ๊กเกอร์ที่ 500 บาท เป็นต้น ซึ่งการเรียกเก็บค่าทำสติ๊กเกอร์ใหม่อาจทำให้ผู้ที่ไม่ได้ใช้รถแต่นำรถยนต์มาจอดเพื่อรักษาสิทธิ์ไม่เข้าร่วมก็เป็นได้ นอกจากนี้นิติบุคคลต้องกำหนดรหัสในสติ๊กเกอร์ขึ้นมา เช่นการใช้รหัสตัวเลข ในสติ๊กเกอร์แต่ละใบ เพื่อป้องกันการทำสติ๊กเกอร์ปลอม และต้องกำหนดโทษปรับสำหรับผู้ที่ทำสติ๊กเกอร์ปลอมที่รุนแรง เช่นอาจจะมีการปรับเป็นจำนวนเงินที่ค่อนข้างมากเป็นต้น สำหรับปัญหาเรื่องที่จอดรถสำหรับผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นกับเฉพาะประเทศที่มีการจราจรแออัดอย่างเช่นประเทศไทยเท่านั้น แต่ถือว่าเป็นปัญหากับคนทั้งโลก แม้กระทั่งในประเทศแถบยุโรป เช่นที่อังกฤษ ถึงแม้ว่าผู้คนในเมืองหลวงเช่นลอนดอน จะนิยมใช้รถใต้ดิน และนิยมเดิน แต่ก็มีปัญหาที่จอดรถเช่นกัน เพราะที่อยู่อาศัยในรูปแบบอาคารชุดของอังกฤษจะสร้างพื้นที่จอดรถไว้น้อยมาก บางที่แทบจะไม่ถึง 10% และผู้ที่จะได้สิทธิ์ในที่จอดรถนั้นจะต้องซื้อห้องชุดในจำนวนยูนิตที่ผู้ขายกำหนดไว้ เช่น อาคาร B กำหนดว่าหากผู้ซื้อ ต้องการได้ที่จอดรถจะต้องซื้อห้องชุด 3 ยูนิต จึงจะได้สิทธิ์ซื้อที่จอดรถ 1 คัน และที่จอดรถก็ไม่ได้ให้จอดฟรีเหมือนบ้านเรา ต้องซื้อในราคาแพงมาก เนื่องจากขายกันเป็นตารางฟุต ดังนั้นหากใครคิดว่าคอนโดมิเนียมในประเทศไทยที่จัดที่จอดรถไว้ให้ 40-60% ถือว่าน้อยเกินไปนั้น หากได้ทราบข้อมูลที่จอดรถของที่อังกฤษแล้วอาจจะคิดว่าโชคดีแล้วที่ได้อยู่คอนโดมิเนียมในประเทศไทย สุดท้ายแล้ว ปัญหาที่จอดรถนั้นสามารถหาทางออกร่วมกันได้หากเราผู้อยู่อาศัยในโครงการทุกคนปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับที่ตกลงร่วมกัน ไม่เอาเปรียบใช้สิทธิ์เกินที่กำหนด หรือไม่ลงทะเบียนใช้สติ๊กเกอร์ และอุปกรณ์บลูทูธของทางโครงการนะครับ บทความที่เกี่ยวข้อง: มารยาทการอยู่ร่วมกันบนตึกสูง ว่าด้วยเรื่องของการใช้ลิฟต์…
5 เรื่องสำคัญ ประชุมใหญ่ประจำปีที่ห้ามพลาด

ปัจจุบันรูปแบบการพักอาศัยของคนเมืองเริ่มหันไปลงทุนในการซื้อหาห้องชุดมากขึ้น จากเดิมที่ผู้คน เลือกเช่าหอพัก อพาร์ตเมนต์กัน ก็เริ่มหันมาเลือกลงทุนในการซื้อห้องชุด ซึ่งมีขนาด ราคา และทำเลที่มีความสะดวกสบายมากขึ้น สาเหตุที่ผู้คนเลือกลงทุนข้างต้น เนื่องจากต้นทุนค่าใช้จ่ายรายเดือนใกล้เคียงกับต้นทุนในการผ่อนดอกเบี้ยกับธนาคารในการซื้อห้องชุด อีกทั้งคอนโดในปัจจุบันมีหลากหลายราคา ให้ได้เลือกตามความเหมาะสม และเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น แต่การเป็นเจ้าของคอนโดหรือที่เรียกว่าเจ้าของร่วมห้องชุดนั้น ไม่เพียงแต่จะใส่ใจแต่เรื่องภายในห้องของตัวเอง แต่ควรจะทราบเรื่องสำคัญขั้นพื้นฐาน หลังจากได้รับโอนห้องชุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระเบียบข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดฯ ระเบียบการพักอาศัย และความเข้าใจในรูปแบบการบริหารงานของนิติบุคคลอาคารชุดฯ หนึ่งในเรื่องสำคัญเบื้องต้น หลังจากที่เราได้รับทราบถึงข้อบังคับระเบียบและการบริหารงานของนิติบุคคลฯ แล้ว เราอาจจะมีคำถามหรือข้อสงสัยหลายเรื่อง หรือข้อสงสัยในระเบียบข้อบังคับต่างๆ ทั้งนี้ คำถามหรือข้อสงสัยเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับส่วนรวม หากเรานำมาสอบถามหรือแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมฯ ซึ่งตามกฎหมาย กำหนดให้นิติบุคคลอาคารชุดฯ จะต้องจัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญเจ้าของร่วมครั้งแรก ภายใน 180 วัน หลังจากทำการโอนเสร็จสิ้น การประชุมใหญ่สามัญเจ้าของร่วมครั้งแรก จะมีวาระสำคัญต่างๆ ในการพิจารณา และลงมติร่วมกันระหว่างท่านเจ้าของร่วม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์กับเจ้าของร่วมทุกคน ในการอาศัยอยู่ร่วมกัน ซึ่งในการประชุมจะให้เจ้าของร่วมทุกคนลงเสียงเพื่อรับรองวาระต่างๆ ดังนี้ 1. รายงานผลการดำเนินการฝ่ายจัดการฯ ในรอบปีที่ผ่านมา ฝ่ายจัดการได้มีการดำเนินการทางด้านต่างๆ ทั้งงานบริหารจัดการ งานช่าง งานดูแลความสะอาด รักษาความปลอดภัย การกำจัดแมลง และการปรับปรุงกายภาพต่างๆ ในบริเวณโดยรอบโครงการ โดยวาระนี้ได้รายงานให้ทราบถึงผลการดำเนินงานในช่วงรอบปีที่ผ่านม 2. การรับรอง/แต่งตั้งผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดฯ (ทุก 2 ปี) *สำหรับอาคารชุดเท่านั้น ซึ่งได้รับการจดทะเบียนขึ้นมาพร้อมกับนิติบุคคลฯ ซึ่งโดยทั่วไปผู้จัดการนิติบุคคลฯ รายแรก จะเป็นตัวแทนของทางเจ้าของโครงการ ท่านเจ้าของร่วมควรจะศึกษา การบริหารงานของผู้จัดการนิติบุคคลฯ (ซี่งอาจเป็นตัวแทนของโครงการ, บริษัทบริหาร, เจ้าของร่วม หรือบุคคลอื่นๆ) ว่ามีความโปร่งใส มีความใส่ใจในความเป็นอยู่ของผู้พักอาศัยอย่างเต็มที่หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นด้านการบริหารงาน, การบริหารค่าใช้จ่าย, การควบคุมงานของคู่สัญญาต่างๆ เป็นต้น ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าผู้จัดการนิติบุคคลฯ จะต้องทำงานภายใต้การบริหารงานของคณะกรรมการฯ ซึ่งจะถูกแต่งตั้งขึ้นในที่ประชุมใหญ่นี้เช่นนี้ แต่หากเจ้าของร่วมพบว่าการบริหารงานของผู้จัดการนิติบุคคลฯที่ผ่านมานั้น ไม่เป็นที่น่าพอใจ หรือไม่โปร่งใส ก็อาจนำเสนอที่ประชุมใหญ่ฯพิจารณาร่วมกัน ในการถอดถอน และแต่งตั้งผู้จัดการนิติฯใหม่ ก็สามารถทำได้ โดยจะต้องใช้เสียงในการลงมติในการถอดถอน และแต่งตั้งผู้จัดการฯ ไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดของเจ้าของร่วม 3. รับรองรายงานสถานะการเงิน , งบประมาณประจำปี และการแต่งตั้งผู้ตรวจสอบบัญชีประจำปี การศึกษาสถานะการใช้จ่ายของนิติบุคคลฯ จะสามารถทำให้เราเข้าใจการบริหารงานของนิติบุคคลได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้เราสามารถแสดงความคิดเห็น/เสนอแนะแนวทางในการควบคุม หรือเพิ่มเติมค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของคู่สัญญา เช่น จำนวนพนักงานรปภ/ อัตราค่าใช้จ่ายต่อหัว อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่ , ค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคต่างๆ ของส่วนกลาง เช่น ค่าไฟฟ้า สามารถปรับลด หรือบริหารเวลาการเปิดปิดไฟส่วนต่าง ๆ เพิ่มขึ้นได้หรือไม่ เป็นต้น…
3 ปัญหาหนักใจของลูกบ้านที่นิติฯ ช่วยคุณได้

คุณเคยอยู่คอนโด หรือ หมู่บ้าน แล้วมีปัญหา อยากหาใครสักคนมาช่วยแก้ไขไกล่เกลี่ยบ้างไหม? รู้หรือไม่ครับว่า การพักอาศัยที่มีผู้ดูแลนั้นช่วยให้เราอุ่นใจ และจัดการอะไรต่างๆ ได้ง่ายขึ้นมากเลยทีเดียว เพราะข้อดีของการพักอาศัยในคอนโดมิเนียมหรือหมู่บ้านที่มีคนดูแลนั้น จะช่วยดูแลรักษาที่พักอาศัยของเราให้เป็นระเบียบเรียบร้อย คงรักษาและเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินให้สูงขึ้นเสมอ ซึ่งบุคคลที่ทำหน้าที่ตรงนี้หลายๆ คนคงจะพอทราบกันดีว่าคือ นิติบุคคลคอนโด หรือ นิติบุคคลหมู่บ้าน นั่นเอง นอกจากหน้าที่หลักที่ช่วยจัดการที่อยู่อาศัยให้สะอาดสวยงามแล้ว นิติบุคคลยังช่วยจัดการกฎระเบียบการอยู่อาศัยของคนหมู่มากที่มาอยู่รวมกัน ให้อยู่อาศัยอย่างสะดวกสบาย และช่วยสร้างความสงบสุขในการอยู่อาศัยร่วมกันอีกด้วย ที่สำคัญเมื่อเราเกิดปัญหาหรือต้องการดำเนินการใดๆ เราสามารถแจ้งให้นิติฯ รับทราบช่วยประสานงานหรือแก้ไขในเบื้องต้นได้ เพราะ ในบางเหตุการณ์หากตัดสินใจทำไปเองโดยไม่ปรึกษาใคร บางครั้งอาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงตามมา และต้องเสียค่าใช้ จ่ายเพิ่มโดยไม่จำเป็น โดย 3 เรื่องหลักๆ ที่นิติบุคคล สามารถให้คำแนะนำและช่วยเหลือได้ มีดังนี้ 1. การซ่อมแซมบ้าน ต่อเติมบ้าน การหาผู้รับเหมา สำหรับคนที่อยู่คอนโด หากมีปัญหาเกิดขึ้นภายในห้อง เช่น กดชักโครกไม่ลง ท่อน้ำอุดตัน ก๊อกน้ำรั่ว สามารถ ติดต่อช่างอาคาร ให้เข้ามาช่วยดูปัญหาที่เกิดขึ้นภายในห้องได้ เพราะในบางกรณีช่างอาคารสามารถช่วยเหลือแก้ไขให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือหากมีการว่าจ้างผู้รับเหมาให้เข้ามาซ่อมแซมหรือต่อเติมใดๆ ก็ตาม ควรติดต่อให้ช่างอาคารร่วมพูดคุยกับผู้รับเหมาด้วยกัน เพราะช่างอาคารมีความคุ้นเคยกับระบบและโครงสร้างต่างๆ ของอาคาร สามารถให้คำแนะนำและช่วยอำนวยความสะดวกได้มากกว่าที่ลูกบ้านไปคุยกับผู้รับเหมาเองโดยตรง เจาะรางผ้าม่าน ชั้นวางติดผนังที่คิดว่าง่ายๆ เราทำเองก็น่าจะได้นะ? การเจาะรางผ้าม่าน บางคนอาจคิดว่าเป็นงานง่ายๆ จึงซื้อสว่านและอุปกรณ์มาเจาะเอง ผลปรากฏว่าไปเจาะโดนไลน์ท่อแอร์ทำให้ต้องเสียเงินเรียกช่างมาทำการแก้ไข หากเราเรียกช่างอาคารให้มาช่วยดูตำแหน่งการเจาะก่อน ปัญหานี้ก็จะไม่เกิดขึ้น หรือการเจาะผนังเพื่อติดชั้นวางของในห้องน้ำ ควรจะต้องปรึกษาทางนิติบุคคล เพื่อให้ช่างอาคารขึ้นมาตรวจสอบโครงสร้างการวางท่อเสียก่อน เพราะถ้าเจาะเอง หรือให้ช่างข้างนอกเข้ามาเจาะเองอาจจะไปเจาะโดนท่อน้ำที่สำคัญ และเป็นเหตุให้น้ำไหลทะลักออกมาท่วมห้อง หากจัดการไม่ทันท่วงที อาจจะทำให้ลามไปถึงพื้นที่ส่วนกลาง ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ภาพประกอบจากห้องตัวอย่างโครงการ เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101 เปลี่ยนพื้น ซ่อมฝ้า Built in รื้อห้องใหม่ทั้งหมด อย่าทำกันเองเงียบๆ ไม่บอกใคร หากมีงานซ่อม งานต่อเติมที่เป็นงานใหญ่ เช่น การซ่อมพื้น ฝ้า ผนัง การตกแต่งคอนโดเพิ่มเติมที่อาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างหลัก และส่วนกลาง เราสามารถให้นิติบุคคลแนะนำผู้รับเหมาให้เข้ามาดำเนินการได้ ข้อดีของการให้นิติบุคคลแนะนำผู้รับเหมาให้ คือ เราจะได้ผู้รับเหมาที่มีคุณภาพในราคาที่อาจจะดีกว่าจ้างเองจากภายนอก เพราะนิติบุคคลมีงานที่ต้องว่าจ้างกันเป็นประจำอยู่แล้ว และผู้รับเหมายังมีความคุ้นเคย รู้จักโครงสร้างภายในอาคาร มีประสบการณ์การทำงานร่วมกับฝ่ายอาคาร ความไว้วางใจและฝีมือในการทำงานก็จะน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง โอกาสที่ผู้รับเหมาจะทิ้งงาน และทำงานเสียหายก็จะน้อยกว่าผู้รับเหมาทั่วไป อย่างไรก็ตามการเลือกผู้รับเหมาควรจะพิจารณาตามความเหมาะสม ทั้งสไตล์ความชอบ และการร่วมงานกัน ที่สำคัญที่สุดไม่ว่าจะเป็นผู้รับเหมาจากที่ไหน ควรให้นิติบุคคลรับทราบการทำงานในทุกขั้นตอนด้วยทุกครั้ง เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ่นได้ 2. การรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน การเกิดอุบัติเหตุ เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือเรื่องที่ไม่คาดฝัน เราควรจะประสานงานกับทางนิติบุคคล ให้มีส่วนรับรู้เป็นอย่างแรก เพราะนิติบุคคล จะมีแผนรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ และมีการฝึกอบรมซ้อมรับมืออยู่เป็นประจำ โดยจะมีขั้นตอนการทำงาน ติดต่อประสาน ตามแผนที่เตรียมไว้เป็นลำดับก่อน-หลัง…
นิติบุคคลคอนโด หมู่บ้าน บริหารจัดการผู้พักอาศัยอย่างไร ให้อยู่สบายและปลอดภัย

นิติบุคคลคอนโด นิติบุคคลหมู่บ้าน กับการบริหารจัดการผู้พักอาศัยที่จะทำให้โครงการมีความเป็นอยู่ที่ดี มาดูกันว่ามีสิ่งใดบ้างที่จะทำให้การอยู่อาศัยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย การอยู่อาศัยร่วมกันในคอนโดมิเนียม หรือหมู่บ้านที่มีจำนวนผู้พักอาศัยเป็นจำนวนมาก แน่นอนว่าระบบการบริหารจัดการที่ดีของนิติบุคคลคอนโด นิติบุคคลหมู่บ้าน นั้นมีความสำคัญมาก ทั้งการบริหารพื้นที่ส่วนกลางให้อยู่ในสภาพสะอาดสวยงาม การดูแลโครงสร้างอาคารและระบบปฏิบัติการต่างๆ ที่ใช้ภายในอาคาร เช่น ระบบประปา ระบบไฟฟ้า ระบบสุขาภิบาล ระบบงานวิศวกรรม ฯลฯ ให้เป็นไปตามมาตรฐานและถูกสุขลักษณะ และอีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้ไปกว่ากันคือ การบริหารจัดการผู้พักอาศัยภายในโครงการให้อยู่ดีมีสุข เป็นระเบียบเรียบร้อย และมีความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินตลอดเวลาการพักอาศัย โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่นิติบุคคลอาคารชุดจะต้องวัดความสามารถ และความเป็นมืออาชีพกันที่มาตรการรับมือและการดูแลความปลอดภัยจากสถานการณ์ COVID-19 หรือการดูแลโครงการในสภาวะฝุ่นละออง เพราะเมื่อเราตัดสินใจซื้อหรือเช่าคอนโดเป็นที่อยู่อาศัยแล้ว คงไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ได้รับการดูแล อยู่อาศัยอย่างไม่มีความสุข หากมีผู้พักอาศัยที่ไม่อยู่ในกฎระเบียบ จะทำให้เกิดความหวาดระแวงเพราะไม่มีใครช่วยสอดส่องดูแลความเป็นไปในโครงการให้ การบริหารจัดการผู้พักอาศัยโดยนิติบุคคลที่มีความเป็นมือชีพจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การอยู่อาศัยในโครงการมีความเป็นอยู่ที่ดี มาดูกันว่ามีสิ่งใดบ้างที่จะทำให้การอยู่อาศัยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ดังนี้ 1. การลงทะเบียนผู้พักอาศัย การจัดให้มีการลงทะเบียนผู้พักอาศัยทุกครั้งเมื่อมีการย้ายเข้า-ออก ภายในโครงการ นิติบุคคลมีหน้าที่เก็บข้อมูลรายละเอียดการเข้าพักอาศัย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของห้องเองหรือผู้เช่าที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ก็ต้องผ่านกระบวนการนี้ โดยจะมีการกรอกฟอร์มใบลงทะเบียนผู้พักอาศัยตามระเบียบของโครงการนั้นๆ เพื่อเก็บเป็นฐานข้อมูลเฉพาะภายในโครงการเพื่อที่นิติบุคคลจะรู้จำนวนผู้เข้าพักอาศัยทั้งหมด แจ้งข้อมูลที่ควรทราบ เช่น กฎระเบียบ ค่าส่วนกลาง ค่ากองทุน การประชุมใหญ่ประจำปี ข้อห้าม ข้อกำหนดต่างๆ แจ้งเวลาเปิด-ปิดพื้นที่ส่วนกลาง ฯลฯ รวมทั้งได้มีโอกาสทำความรู้จักสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกบ้านไปในตัวด้วย นอกเหนือจากผู้พักอาศัยและผู้เช่าที่ต้องทำการลงทะเบียนผู้พักอาศัยแล้ว หากเจ้าของห้องมีห้องไว้ปล่อยเช่าลูกค้าต่างชาติ ทั้งระยะสั้น (สัญญา1 เดือน 3 เดือน 6 เดือน) และระยะยาว (สัญญารายปี) เป็นสิ่งสำคัญที่นอกจากจะพาผู้เช่าต่างชาติมาลงทะเบียนที่นิติบุคคลแล้ว จำเป็นต้องแจ้งข้อมูลชาวต่างชาติที่เช่าห้องพักให้กับที่ทำการตรวจคนเข้าเมืองหรือสถานีตำรวจในท้องที่ ภายใน 24 ชั่วโมง นับแต่เวลาที่คนต่างด้าวเข้าพักอาศัยด้วย ซึ่งปัจจุบันนี้มีวิธีการที่สะดวกสบายสำหรับเจ้าของห้องเช่าเพราะสามารถแจ้งออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์สำนักงานตรวจเข้าเมือง เพราะมี ระบบแจ้งที่พักอาศัย ที่ง่ายและสะดวกมากไม่จำเป็นต้องไปแจ้งที่สถานีตำรวจ สามารถศึกษาคู่มือการแจ้งที่พักได้ ที่นี่ หรือหากทำการแจ้งด้วยตัวเองก็สามารถ ดาวน์โหลดแบบฟอร์ม และเตรียมเอกสารไปยื่นได้ที่ กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ถนนแจ้งวัฒนะ ซอย 7 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 ส่วนต่างจังหวัดให้แจ้ง ณ ที่ทำการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในเขตพื้นที่ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ 5 ขั้นตอน ปล่อยเช่าคอนโดให้กับชาวต่างชาติ งานบริหารอาคารของนิติบุคคล เรื่องที่ทุกคนควรต้องใส่ใจ 2. มาตรการตรวจสอบการเข้า-ออก ควรจัดให้มีระเบียบวิธีการอย่างชัดเจน ทั้งขั้นตอนการตรวจบันทึก และการผ่าน-เข้าออกของยานพาหนะทุกคัน มีระบบการคัดแยกรถยนต์ของเจ้าของร่วมและรถจากภายนอก เช่น สติ๊กเกอร์ติดหน้ารถ การลงทะเบียนหมายเลขทะเบียนรถยนต์ ในส่วนนี้เป็นการคัดกรองบุคคลสำหรับผู้ที่จะผ่านเข้ามาภายในพื้นที่พักอาศัย ซึ่งจะต้องมีขั้นตอนการตรวจบันทึกและแสดงตนสำหรับบุคคลภายนอก มีการบันทึกข้อมูลเวลาเข้าออก เช่น ผู้รับเหมา แม่บ้านรายวัน ช่างซ่อมภายนอก ฯลฯ แม้แต่กระทั่งผู้ติดตามเจ้าของห้อง (Visitor) รวมถึงเพื่อน ญาติ ที่มาขอพบผู้พักอาศัย เจ้าของห้องควรแจ้งกับนิติบุคคลล่วงหน้าและรับรองความสัมพันธ์ก่อนอนุญาตให้เข้ามาภายในอาคาร ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยและป้องกันคนแปลกหน้าเข้าสู่ภายในอาคารซึ่งอาจก่อให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ 3. นโยบายรักษาความปลอดภัย การวางนโยบายการจัดการด้านการรักษาความปลอดภัยที่มีการวางแผนอย่างรอบคอบ ตามหน้าที่ปฏิบัติที่มีหลากหลายรูปแบบตามลักษณะงาน และพื้นที่ อีกทั้งมีการนำเอาเทคโนโลยีด้านการรักษาความปลอดภัย เข้ามาร่วมผสมผสานกับการปฏิบัติงาน เช่น เครื่องสแกนใบหน้า…
5 วิธี การใช้สระว่ายน้ำที่ควรรู้

เรียนรู้วิธีการใช้สระว่ายน้ำให้ถูกต้อง สิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนควรเลี่ยง เพื่อดูแลสระว่ายน้ำให้สะอาด และ สุขอนามัยที่ปลอดภัยของผู้ใช้สระร่วมกันทุกคน สระว่ายน้ำ นอกจากช่วยสร้างบรรยากาศความสวยงามให้กับโครงการแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ส่วนกลางที่มีมักผู้มาใช้บริการอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำคอนโด หรือ สระว่ายน้ำสโมสรฯ การใช้สระว่ายน้ำร่วมกันจึงจำเป็นต้องทำตามกฎระเบียบการใช้สระว่ายน้ำของแต่ละที่อย่างเคร่งครัด เพื่อสุขอนามัย และความปลอดภัยของการใช้สระว่ายน้ำสาธารณะ อีกทั้ง การมีมารยาทในการใช้สระว่ายน้ำจึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนพึงมี เราต้องเข้าใจว่าทุกคนที่มาใช้สระว่ายน้ำ ล้วนต้องการใช้เวลายามว่างกับการทำกิจกรรมในน้ำเพื่อความสนุกเพลิดเพลินใจ หรือ ใช้เวลายามว่างมาออกกำลังกายเสริมสร้างความแข็งแรง เหมือนๆกันหมด เราควรคำนึงถึงส่วนร่วม เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม โดยไม่เบียดเบียน ไม่สร้างความเดือดร้อน ทำให้ผู้อื่นเสี่ยงและตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย ด้วยการดูแลตัวเองให้ดี โดยเฉพาะในสถานการณ์ COVID-19 การใช้สระว่ายน้ำในพื้นที่ส่วนกลางอย่างคอนโดจึงต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ หลายคนอาจมีคำถามว่า การใช้สระว่ายน้ำในช่วงโควิดนี้ทำได้หรือไม่? ปลอดภัยมากพอหรือยังที่จะลงว่ายน้ำในช่วงนี้? จากคำแนะนำของคุณหมอธีระ ที่โพสต์ให้ความรู้กรณีสระว่ายน้ำกับโควิด-19 ไว้ว่า สระว่ายน้ำนั้นเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคได้ ไม่ว่าจะแบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว หรืออื่นๆ เพราะเป็นที่ที่มีคนมาใช้ร่วมกัน การติดเชื้อจึงเป็นได้ทั้งจากการใกล้ชิด สัมผัสตัวกัน สัมผัสละอองฝอยน้ำลาย หรือสิ่งคัดหลั่งขณะพูดคุยเล่น หรือแม้แต่การเผลอกินน้ำในสระที่ปนเปื้อน และคลอรีนนั้นไม่อาจจะฆ่าเชื้อโรคได้ทุกอย่าง สระว่ายน้ำที่เปิดให้บริการในช่วง COVID19 ต้องอาศัยการบำรุงดูแลรักษาตามมาตรฐานทางสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด หากละเลยเพิกเฉยหรือหย่อนยาน คนที่มาใช้บริการอาจมีความเสี่ยงติดเชื้อได้โดยไม่รู้ตัว และยากต่อการตรวจสอบ ดังนั้นการใช้บริการต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง มีสติอยู่เสมอ ผู้ใช้บริการเองก็ต้องเตรียมความพร้อม และตรวจเช็คสภาพร่างกายก่อนลงสระทุกครั้งว่าอยู่ในสภาพที่แข็งแรง สมบูรณ์ มั่นใจว่าจะไม่ไปทำการแพร่เชื้อ และรับเชื้อเข้ามาในร่างกายของเราโดยไม่จำเป็น พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ในฐานะผู้ดูแลจัดการบริหารพื้นที่ส่วนกลางคอนโดมิเนียม และโครงการหมู่บ้าน สโมสร เราให้ความสำคัญต่อมาตรการการดูแลรักษาความสะอาดอย่างเคร่งครัด กำหนดให้มีการใช้บริการอย่างเป็นระบบ จำกัดจำนวนผู้ใช้บริการ และเวลาในแต่ละรอบที่กำหนด ลูกบ้านที่ต้องการใช้สระว่ายน้ำ ต้องแจ้งความประสงค์และลงทะเบียนการใช้งานทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย รู้อย่างนี้แล้ว เรามาทำความรู้จักสระว่ายน้ำที่เราจะใช้กันก่อนว่าเป็นสระประเภทไหน สระว่ายน้ำมีทั้งหมดกี่ประเภท? สระว่ายน้ำมีทั้งหมด 2 ประเภท ได้แก่สระว่ายน้ำระบบคลอรีน และสระว่ายน้ำระบบเกลือ สระว่ายน้ำระบบคลอรีน คือสระว่ายน้ำที่เราสามารถพบเห็นได้ทั่วไป เป็นการใช้สารคลอรีนเพื่อทำลายผนังเซลล์ของสิ่งแปลกปลอมเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค สารคลอรีนสามารถสลายตัวได้เร็วเมื่อเจอกับแสงแดดทำให้การเพิ่มสารคลอรีนทำได้เฉพาะตอนกลางคืนครับ และ ค่าpHที่เหมาะสมคือ 7.1-7.6 ppm. แต่สระว่ายน้ำระบบคลอรีน สามารถสร้างความระคายเคืองต่อร่างกายได้โดยง่าย และเป็นอันตรายต่อผู้ที่มีอาการแพ้สารคลอรีนครับ สระว่ายน้ำระบบเกลือ คือสระว่ายน้ำที่ใช้เกลือมาฆ่าเชื้อโรคแทนสารคลอรีนนั่นเองครับ และ ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ ความเข้มข้นของน้ำที่เหมาะสมอยู่ที่ 0.3% ซึ่งจะบางเบากว่าน้ำทะเลเพื่อไม่ให้เกิดอาการระคายเคือง หรือ แสบตาเหมือนน้ำทะเล แต่ สระน้ำระบบเกลือต้องคอยตรวจเชื้อโรคเป็นประจำถ้าหากไม่ได้มาตรฐานก็สามารถเกิดความระคายเคืองแก่ร่างกายได้เช่นกันครับ ภาพสระว่ายน้ำจากโครงการ เดอะ เบส สุขุมวิท 77 5 วิธีการใช้สระว่ายน้ำที่ถูกต้อง และควรปฏิบัติตามทุกครั้งเมื่อใช้บริการ 1. ตรวจสภาพร่างกายตัวเอง ว่าอยู่ในสภาพที่แข็งแรง สมบูรณ์ ไม่มีไข้ ไอ จาม หรือทำกิจกรรมเสี่ยง เพื่อความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น 2. ใส่ชุดว่ายน้ำลงสระทำไมต้องใส่ชุดว่ายน้ำ? คุณอาจจะคิดว่าไม่จำเป็นต้องใส่ชุดว่ายน้ำก็ได้ แต่แท้จริงแล้ว การใส่เสื้อผ้าอื่นสามารถทำให้ระบบการไหลเวียนน้ำอุดตันจากเส้นใยของเนื้อผ้ารวมไปถึงการโดนกัดกร่อนเนื้อผ้าจากสารคลอรีนที่สามารถทำให้สีผ้าตก และ ยังสามารถเกิดอุบัติเหตุได้…
ขยะมีกี่ประเภท? ประโยชน์ของการแยกขยะและวิธีคัดแยกขยะที่ถูกต้อง

การคัดแยกขยะแต่ละประเภทก่อนทิ้งลงถัง นอกจากจะช่วยลดปริมาณขยะจากที่อยู่อาศัย บ้าน คอนโด ได้แล้ว ยังสามารถนำไปรีไซเคิลต่อได้อีกด้วย ไปดูวิธีคัดแยกขยะที่ถูกต้องสำหรับคนที่อยู่อาศัยในคอนโด บ้าน ทาวน์โฮม ก็สามารถทำได้ จากข้อมูลในปี 60 ทุกวันนี้คนไทยเกือบ 70 ล้านคน สามารถสร้างขยะได้มากถึง 27.37 ล้านตัน หรือ 74,998 ตันต่อวัน ถ้าให้เห็นภาพก็คงเทียบเท่าได้กับขยะกองรวมกันสูงเท่าตึกใบหยก 2 จำนวน 140 ตึก (ไม่ใช่น้อยเลยนะครับ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามหัวเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ชลบุรี นครราชสีมา สมุทรปราการ และขอนแก่น เพียง 5 จังหวัดสามารถสร้างขยะได้มากถึง 22,613 ตันต่อวัน เพียงแค่กรุงเทพฯ จังหวัดเดียวก็สร้างขยะไปกว่า 13,327 ตันต่อวันเข้าไปแล้ว แต่ความสามารถในการจัดเก็บขยะกลับมีไม่ถึง 70 % ของขยะที่เกิดขึ้น จึงทำให้เกิดปริมาณมูลฝอยตกค้าง ตามสถานที่ต่าง ๆ หรือมีการนำไปกำจัดโดยวิธีกองบนพื้นซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาลก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม ดังนั้นหากเราเพียงแค่เปลี่ยนวิธีคิด ปรับวิธีการ เริ่มจากจิตสำนึกการลดขยะ และช่วยกันแยกขยะเพื่อการกำจัดที่ถูกวิธี เพียงเท่านี้จากกราฟของปริมาณขยะที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ก็อาจจะมีแนวโน้มลดลงได้ในปีต่อๆ ไป ที่มา : กรมควบคุมมลพิษ (2561) ลดขยะทำได้ง่ายๆ เพียงแค่เริ่ม แนวคิดการลดขยะในทุกวันนี้ทำได้ง่ายมาก เพราะหลายฝ่ายเริ่มรณรงค์และเห็นถึงความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังมีสิ่งจูงใจ โปรโมชั่น ของแถมดีๆ ให้กับคนที่ช่วยกันลดปริมาณขยะอีกด้วย และพลัสฯ ได้รวบรวมไอเดียต่างๆ จาก Twitter Official Account (@PlusPropertyTH) ที่เราได้ไปตั้งกระทู้ถามว่าถ้าอยากจะให้ช่วยกัน #savetheworld จะมีวิธีไหนกันบ้าง มาให้ทุกคนได้เลือกนำไปใช้กันได้ตามสะดวก จะมีไอเดียน่าสนใจขนาดไหนลองมาดูกันครับ “#savetheworld ด้วยการพกกระติกน้ำไปโรงเรียนแทนการซื้อขวดน้ำพลาสติก เพราะสามารถกรอกน้ำเติมได้ระหว่างวัน ประหยัดเงินอีกด้วย และเมื่อไปซื้อของในเซเว่นก็ไม่รับหลอดกับถุงพลาสติก เอาของใส่กระเป๋าแทน 😊” “#SaveTheWorld #ทีมช่วยลด ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก นำขวดน้ำและแก้วน้ำไปเองจากบ้านเเทนการซื้อเพิ่ม รวมทั้งใช้หลอดอลูมิเนียม หรือหลอดกระดาษ ใช้กล่องข้าวเเทนกล่องโฟมค่ะ” “#savetheworld #ทีมช่วยลด ลดการใช้ถุงพลาสติกด้วยการนำถุงเก่ามาใช้ใหม่ในการซื้อของ และใช้ถุงผ้าในบางโอกาส บางครั้งเราสามารถปฏิเสธไม่เอาถุงพลาสติกเพราะเราสามารถถือของเองได้ และอยากให้ทุกคนตระหนักถึงปัญหากับสิ่งแวดล้อมเพราะการทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทางก็เป็นเรื่องสำคัญครับ” “#SaveTheWorld พกถุงผ้าเวลาไปชื้อของ พกแก้วไปชื้อกาแฟ ไม่ชื้อเสื้อผ้าบ่อยๆ งดรับหลอดและถุงพลาสติก” “ช่วย #savetheworld ด้วยวิธี #ทีมช่วยลด ลดการใช้ถุงพลาสติก อย่างเช่นเราไปซื้อของในเซเว่น แนะนำให้นำถุงผ้าหรือตะกร้ามาใส่ของ แทนการใช้ถุงพลาสติกจะได้ช่วยลดการใช้ถุงพลาสติกลดขยะไปด้วยค่ะ และมีอีกวิธีค่ะคือการรียูสหรือเป็นการนำมาใช้ซ้ำ เช่นนำถุงพลาสติกที่ใช้แล้วนำมาใช้ต่อค่ะ” “#savetheworld #ทีมช่วยลด เราอยู่ทีมช่วยลด ที่ทำประจำคือใช้ผลิตภัณฑ์แบบรีฟิล ลดการใช้ถุง ใช้กล่องข้าวพลาสติก เอาแก้วน้ำไปเวลาซื้ออเมซอน…
5 เทคโนโลยีการอยู่อาศัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง

รู้จักเทคโนโลยีที่พักอาศัยในยุคของ IoT (Internet of Things) ที่อะไรๆ ก็พัฒนาขึ้นเพื่อมาตอบสนองความต้องการ สร้างความสะดวกสบายให้กับผู้คน พลัสฯ รวมเทคโนโลยีสำหรับคอนโด และเทคโนโลยีสำหรับบ้านมาไว้ให้แล้วที่นี่ IoT คือ สัญญาณเครือข่ายที่เชื่อมต่อสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน ด้วยเซ็นเซอร์ โปรแกรม หรือเทคโนโลยีอื่นๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้สิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ ระบบ ที่เชื่อมหากันติดต่อ แลกเปลี่ยน ถ่ายโอนข้อมูลกันได้ผ่านสัญญาณอินเทอร์เนต ในทุกวันนี้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากแทรกซึมจนแทบจะเป็นส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิตไปแล้ว เมื่อทุกอย่างถูกเชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เนต ข้อมูลต่างๆ อยู่บนออนไลน์ นำไปวิเคราะห์ให้ระบบได้เรียนรู้ จนสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งาน และนำมาพัฒนาเป็นสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการได้สูงสุด เทคโนโลยีเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย คือ เทคโนโลยีที่จะมาช่วยให้การอยู่อาศัยในบ้าน คอนโด สะดวกสบายขึ้นโดยทำงานเชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เนตภายในบ้าน หรือระบบไร้สาย เชื่อมต่อผ่าน Smart Phone เพื่อให้เราสามารถใช้งานได้อย่างอัตโนมัติ หรือช่วยเก็บสถิติการใช้งาน แจ้งเตือนเหตุการณ์ต่างๆ จนกระทั่งเรียนรู้พฤติกรรมของผู้อยู่อาศัยเพื่อตอบสนองความต้องการได้อย่างตรงใจ ปัจจุบันหลายๆ บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็มีการนำเทคโนโลยีที่พักอาศัยเหล่านี้เข้ามาพัฒนาในคอนโด บ้าน ทาวน์โฮม เพื่อสร้างสรรค์รูปแบบและการบริการให้ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนในยุคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จึงได้รวบรวมเทคโนโลยี และนวัตกรรมการอยู่อาศัยที่ได้ถูกคิดค้น พัฒนาและนำมาใช้กับโครงการต่างๆ ในคอนโด และบ้านเดี่ยว เรามาดูกันว่ามีเทคโนโลยีอะไรที่เข้ามาช่วยตอบโจทย์ และทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นบ้าง 1. Home Automation เทคโนโลยี Home Automation นี้ คือ ระบบควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ทั้งหมดภายในบ้าน คอนโด เช่น ควบคุมระบบไฟ เครื่องปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้า ระบบรักษาความปลอดภัย กล้องวงจรปิด กริ่งหน้าบ้าน เปิด-ปิดม่าน รดน้ำต้นไม้ ฯลฯ ซึ่งทุกสิ่งเหล่านี้สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เนต และควบคุมการทำงานผ่านสมาร์ทโฟน ไม่ว่าเราจะอยู่ส่วนไหนของบ้าน หรือแม้จะไม่ได้อยู่ในบ้านก็ตาม 2. Smart Facility Smart Booking ระบบการจองพื้นที่ส่วนกลางผ่านสมาร์ทโฟนพร้อมระบบการเเจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาการจอง เทคโนโลยีนี้ได้นำมาใช้กับโครงการคอนโดมิเนียม และหมู่บ้านจัดสรรที่มีพื้นที่ส่วนกลางกับสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่างๆ เช่น ห้องประชุม ห้องเอนกประสงค์ อุปกรณ์ฟิตเนสเฉพาะอย่าง สระว่ายน้ำจากุซซี่ ฯลฯ ระบบนี้จะช่วยจัดการปริมาณการใช้งานได้โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน หรือมีผู้ใช้จำนวนมาก และจำกัดเวลาการใช้งาน เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้พื้นที่ส่วนกลางร่วมกันได้อย่างเท่าเทียมกัน Smart Locker ระบบนี้ในคอนโดมิเนียมหลายๆ แห่งก็ได้พัฒนาขึ้นเป็นล็อกเกอร์ของตัวเอง หรือใช้บริการจากผู้พัฒนารายอื่น โดย Smart Locker นี้ สามารถรับพัสดุ สิ่งของได้ 24 ชั่วโมง พร้อมระบบแจ้งเตือน ควบคุมการทำงานผ่านสมาร์ทโฟน Smart Mail Box ระบบเเจ้งเตือนการรับจดหมาย หรือเอกสารต่างๆ เเละสามารถใช้ QR CODE เพื่อปลดล็อกตู้จดหมายโดยไม่ต้องใช้กุญเเจ Smart Access ระบบการเข้า-ออกพื้นที่ผ่านสมาร์ทโฟน ทั้งทางเข้าโครงการ ล็อบบี้…