รวม 8 คอนโดพร้อมอยู่ ติดรถไฟฟ้า ตกแต่งมาให้แล้ว!

คอนโดพร้อมอยู่เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะสำหรับคนรุ่นใหม่และผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตในเมือง ด้วยข้อดีหลายประการ เช่น สามารถย้ายเข้าอยู่ได้ทันที ไม่ต้องรอการก่อสร้างหรือตกแต่งเพิ่มเติม อีกทั้งยังมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน และทำเลที่ตั้งที่สะดวกต่อการเดินทาง โดยเฉพาะคอนโดพร้อมอยู่ ติดรถไฟฟ้า ที่ช่วยให้การใช้ชีวิตในเมืองเป็นเรื่องง่ายขึ้น ในบทความนี้ พลัสฯ จะพามาดู 8 คอนโดพร้อมอยู่ ติดรถไฟฟ้าที่ตกแต่งมาให้เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ชีวิตของชาวคอนโดสะดวกมากยิ่งขึ้น แนะนำ 8 คอนโดพร้อมอยู่ ติดรถไฟฟ้า คอนโดพร้อมอยู่ ติดรถไฟฟ้า เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทางและการใช้ชีวิต โดย 8 คอนโดพร้อมอยู่ ติดรถไฟฟ้า ได้แก่ 1. วิสซ์ดอม เอสเซ้นส์ สุขุมวิท 101 โครงการคอนโดพร้อมอยู่ อ่อนนุชที่เน้นผสานฟังก์ชันการอยู่อาศัยยุคใหม่เข้ากับธรรมชาติ รวมห้องทั้งหมด 664 ยูนิต โดยมีขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นตั้งแต่ 33.7 – 195.9 ตารางเมตร และมีห้องให้เลือกถึง 4 แบบ ได้แก่ ห้อง 1 ห้องนอน ห้อง 2 ห้องนอน ห้อง 3 ห้องนอน ห้องเพนเฮาส์ ยกระดับการอยู่อาศัยด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางที่ครบครัน อาทิ ลู่วิ่งในสวน สระว่ายน้ำในสวนความยาว 50 เมตร สระว่ายน้ำสำหรับเด็ก ฟิตเนส ห้องพักผ่อนและสวนลอยฟ้า ห้องเด็กเล่น ห้องสมุด และระบบรักาาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง โดยสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย ด้วยเลโคชั่นที่อยู่ใกล้กับรถไฟฟ้า BTS สถานีปุณวิถี และสถานีอุดมสุข รวมถึงแหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท2 ทรูดิจิทัลพาร์ค โรงเรียนนานาชาติแองโกลสิงคโปร์ และอื่น ยูนิตแนะนำ: 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 33.7 ตารางเมตร คลิก 2. น็อตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท 105 โครงการคอนโด Low Rise ที่ประกอบด้วยอาคารสูง 8 ชั้น จำนวน 6 อาคาร รวมห้องทั้งหมด 1,113 ยูนิต โดยมีขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นตั้งแต่ 25.50 – 43.50 ตารางเมตร และมีห้องให้เลือก 3 แบบ คือ ห้อง…

เปิด 10 วิธีเลือกทำเลบ้าน ดูอย่างไร?

นอกจากการออกแบบ ขนาด และปัจจัยอื่นๆ ของตัวบ้าน ทำเลบ้านยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการอยู่อาศัย และมูลค่าของบ้านในระยะยาว ดังนั้นจึงควรพิจารณาเลือกทำเลบ้านอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน ในบทความนี้ พลัสฯ จะมาเปิด 10 วิธีเลือกทำเลบ้าน เพื่อเพิ่มคุณภาพการอยู่อาศัย และสร้างผลตอบแทนในระยะยาว เปิด 10 วิธีเลือกทำเลบ้าน ดูอย่างไร? การเลือกทำเลบ้านที่ดีต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย โดยมี 10 วิธีเลือกทำเลบ้าน ดังนี้ 1. ความสะดวกในการเดินทาง ทำเลบ้านที่ดีควรอยู่ติดกับถนนสายหลัก และมีรถประจำทางผ่าน เพราะสะดวกต่อการเดินทางด้วยรถส่วนตัว และขนส่งสาธารณะ อีกทั้งยังปลอดภัยมากกว่าทำเลบ้านที่อยู่ในซอยลึก ซึ่งเสี่ยงต่อการก่ออาชญากรรมในยามวิกาล 2. ทำเลบ้านไม่ห่างจากที่ทำงาน หากทำเลบ้านอยู่ห่างไกลจากที่ทำงาน ต้นทุนการเดินทางของเจ้าของบ้านหรือผู้หารายได้หลักของครอบครัวจะเพิ่มมากขึ้น ทั้งต้นทุนด้านงบประมาณ เวลา และสุขภาพ ซึ่งก่อให้เกิดความไม่คุ้มค่าในระยะยาว 3. ทำเลบ้านไม่เสี่ยงต่อน้ำท่วมหรือเป็นพื้นที่รองรับน้ำ พื้นที่สีเขียวทแยงบนแผนผังเมือง คือ พื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม โดยมีระดับต่ำกว่าพื้นที่รอบๆ ส่งผลให้ทำเลบ้านบนพื้นที่นี้มีโอกาสเป็นพื้นที่รองรับน้ำ และเกิดน้ำท่วมเป็นประจำ 4. ทำเลบ้านไม่อยู่ใกล้เคียงโรงงานอุตสาหกรรมหรือพื้นที่ทิ้งขยะ ทำเลบ้านที่อยู่ใกล้เคียงโรงงานอุตสาหกรรมหรือพื้นที่ทิ้งขยะมักไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย เพราะมีความเสี่ยงต่อมลภาวะทางน้ำและอากาศสูง 5. ทำเลบ้านไม่อยู่ใกล้ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ทำเลบ้านที่อยู่ใกล้ฟาร์มเลี้ยงสัตว์มักได้รับผลกระทบจากกลิ่นเหม็น และมลภาวะทางเสียง โดยเฉพาะฟาร์มหมู วัว และไก่ 6. ทำเลบ้านไม่อยู่ในทิศทางขึ้น-ลงของเครื่องบิน แม้ทำเลบ้านที่อยู่ใกล้กับสนามบินจะสะดวกต่อการเดินทางไปยังสนามบิน แต่มักได้รับผลกระทบจากมลภาวะทางเสียง โดยเฉพาะทำเลบ้านที่อยู่ในทิศทางขึ้น-ลงของเครื่องบิน 7. ทำเลบ้านไม่อยู่ใกล้เสาไฟฟ้าแรงสูง เสาไฟฟ้าแรงสูงมีขนาดใหญ่กว่าเสาไฟฟ้าทั่วไป และมักติดตั้งอยู่ในพื้นที่โล่งห่างไกลจากครัวเรือน เพื่อเลี่ยงโอกาสเกิดอุบัติเหตุ และการบดบังทัศนียภาพของผู้คน 8. ทำเลบ้านอยู่ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน ทำเลบ้านที่ดีควรอยู่ใกล้กับแหล่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน เพื่อความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต อาทิ ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า หรือตลาด โรงพยาบาล หรือสถานพยาบาล และโรงเรียน หรือสถานศึกษา 9. ทำเลบ้านไม่อยู่ใกล้กับศาสนสถาน ศาสนสถานเป็นศูนย์รวมของคนในชุมชน โดยเฉพาะในเทศกาลต่างๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดเสียงดังรบกวนการอยู่อาศัยได้ 10. แนวโน้มการเติบโตของมูลค่าที่ดิน หากทำเลซื้อบ้านตั้งอยู่บนพื้นที่ที่กำลังเติบโต เช่น อยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้า อยู่ใกล้ทางด่วน หรืออื่นๆ จะส่งผลให้มูลค่าของตัวบ้าน และที่ดินมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ทำเลบ้านที่ดีจะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมีคุณภาพความเป็นอยู่ที่ดีตามไปด้วย และเป็นทรัพย์สินมีค่าที่สามารถตกทอดให้กับลูกหลานได้ แนะนำ 5 โครงการบ้านทำเลดี จากแสนสิริ สำหรับใครที่กำลังมองหาทำเลบ้านเดี่ยวคุณภาพ พลัสฯ ได้รวบรวมโครงการบ้านแสนสิริมาให้ถึง 5 แห่ง ได้แก่ 1. บ้านแสนสิริ สุขุมวิท 67  โครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่มีบ้านในโครงการทั้งหมดเพียง 96 ยูนิต โดยมีขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นตั้งแต่ 394 –…

แนะนำ 8 บ้านหรู 3 ชั้น เพื่อพื้นที่ครอบครัวที่มากขึ้น

ด้วยความต้องการพื้นที่อยู่อาศัยที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ครอบครัวขนาดกลาง-ใหญ่หันมาให้ความสนใจโครงการบ้านเดี่ยว 3 ชั้น มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มโครงการบ้านหรู 3 ชั้น เพราะไม่เพียงตอบโจทย์ความต้องการขนาดพื้นที่อยู่อาศัยที่เพิ่มมากขึ้น แต่ยังมาพร้อมกับเอกลักษณ์ด้านการออกแบบ ทำเลศักยภาพ และสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางในระดับพรีเมียม แนะนำ 8 บ้านหรู 3 ชั้น ปัจจุบันมีโครงการบ้านหรู 3 ชั้น ถือกำเนิดขึ้นหลายแห่งในพื้นที่กรุงเทพฯ โดย 8 บ้านหรูบนทำเลศักยภาพที่น่าสนใจ ได้แก่ 1. LAKE LEGEND Bangna-Suvarnabhumi โครงการบ้านคฤหาสน์ 3 ชั้น ที่มาพร้อมกับวิวทะเลสาบ 100 ไร่ และเน้นออกแบบให้มีความเรียบง่าย ทันสมัย และหรูหราสไตล์อิตาลี โดยมีบ้านให้เลือก 2 แบบ รวมทั้งหมด 127 ยูนิต ดังนี้ Lago Lugano ขนาดพื้นที่ใช้สอย 563 ตารางเมตร คฤหาสน์หรูเล่นระดับ 3 ชั้น 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2 ห้องน้ำแขก 2 ห้องพักผ่อน 1 ห้องน้ำชา ลิฟต์ส่วนตัว สระว่ายน้ำพร้อมอ่างจากุชชี่ ดาดฟ้า 1 ห้องแม่บ้าน และที่จอดรถ 4 – 8 คัน Lago Como ขนาดพื้นที่ใช้สอย 656 ตารางเมตร คฤหาสน์หรูเล่นระดับ 3 ชั้น 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 2 ห้องน้ำแขก 2 ห้องพักผ่อน 1 ห้องน้ำชา, ลิฟต์ส่วนตัว สระว่ายน้ำพร้อมอ่างจากุชชี่ ดาดฟ้า 2 ห้องแม่บ้าน และที่จอดรถ 4 – 8 คัน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เหนือระดับด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางภายในโครงการแบบพรีเมียม ทั้งคลับเฮาส์ขนาดใหญ่ริมทะเลสาบ สระว่ายน้ำความยาว 35 เมตร สระว่ายน้ำสำหรับเด็ก อ่างจากุชชี่ ฟิตเนสมาตรฐานโลก ห้องเด็กเล่น สนามเด็กเล่น ห้องรับรองแขก และอื่นๆ อีกมากมาย ความน่าสนใจของโครงการ คือ โลเคชันอยู่ห่างกับสนามบินสุวรรณภูมิเพียง 5 นาที และติดกับถนนสายสำคัญ…

คอนโด Precast คืออะไร และทนกว่าคอนโดทั่วไปจริงหรือไม่?

ด้วยความต้องการที่อยู่อาศัยที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมการก่อสร้างหันมาใช้ Precast ในการสร้างอาคารและบ้านเรือนมากขึ้น รวมถึงคอนโด Precast ด้วยเช่นกัน ซึ่งเริ่มมีให้เห็นเพิ่มขึ้นแล้วในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม บางส่วนยังมองว่าคอนโด Precast ไม่แข็งแรงเท่ากับคอนโดทั่วไป ในบทความนี้ พลัสฯ จะพามาทำความรู้จักคอนโด Precast พร้อมตอบข้อสงสัยยอดฮิตว่า คอนโด Precast ทนกว่าคอนโดทั่วไปจริงหรือไม่? นิยามของคอนโด Precast คอนโด Precast คือ คอนโดที่ใช้วัสดุพรีแคสหรือแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปในการก่อสร้าง โดยพรีแคสได้มาจากการหล่อคอนกรีตเหลวในแม่พิมพ์รูปทรงต่างๆ เพื่อให้ได้คอนกรีตแผ่นสำเร็จรูปที่สามารถนำไปประกอบในไซต์ก่อสร้างได้เลย ข้อดีของคอนโด Precast คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยหันมาให้ความสนใจกับคอนโดพรีแคสมากขึ้น เนื่องจากมีข้อดีหลายประการ อาทิ 1. ความรวดเร็วในการก่อสร้าง การก่อสร้างคอนโดผนัง Precast สามารถทำได้อย่างรวดเร็วมากกว่าคอนโดทั่วไป เพียงนำ Precast มาต่อกันในตำแหน่งที่กำหนดไว้ แล้วทำการเชื่อมแต่ละแผ่นด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การเชื่อมเหล็ก, การใช้นอต และการเทคอนกรีตเชื่อม 2. คุณภาพและมาตรฐานที่แน่นอน การควบคุมคุณภาพ และมาตรฐานการก่อสร้างคอนโด Precast สามารถทำได้อย่างแม่นยำมากกว่า เนื่องจาก Precast เป็นส่วนประกอบที่ผลิตในโรงงาน ซึ่งสามารถควบคุมสภาพแวดล้อม เกรดของคอนกรีต และมาตรฐานการผลิตได้ดี เมื่อเทียบกับการก่อโครงสร้างคอนกรีตในไซต์งาน 3. การควบคุมต้นทุนที่แม่นยำ การใช้ Precast จะช่วยให้ประหยัด และควบคุมต้นทุนได้มากกว่า โดยเฉพาะต้นทุนด้านวัสดุ คนงานก่อสร้าง และอุปกรณ์สำหรับก่อโครงสร้างคอนกรีต 4. ความแข็งแรงและทนทาน คอนโด Precast มีความแข็งแรง และทนทานสูง เนื่องจาก Precast เป็นแผ่นคอนกรีตที่มีความแข็งแรง และมีคุณภาพ อีกทั้งยังทนทานต่อสภาพอากาศ ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด ฝน หรือความชื้น 5. เป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อม การก่อสร้างคอนโด Precast เป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อมมากกว่าการก่อสร้างคอนโดทั่วไป เนื่องจากสร้างฝุ่นน้อย มลภาวะทางเสียงต่ำ และสามารถถอดไปใช้ซ้ำได้หากยังมีสภาพดีอยู่ ด้วยข้อดีเหล่านี้ทำให้คอนโด Precast มีราคาขายที่สามารถจับต้องได้ง่าย ส่งผลให้เป็นที่นิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยทำงาน ข้อจำกัดและความท้าทายของคอนโด Precast อย่างไรก็ตาม คอนโด Precast ยังมีข้อจำกัด และความท้าทายในด้านการก่อสร้างอยู่บ้างเช่นกัน อาทิ 1. ข้อจำกัดด้านการออกแบบ วัสดุ Precast ไม่เหมาะสำหรับการก่อสร้างบ้าน อาหาร หรือคอนโดที่มีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์สูง เนื่องจาก Precast มาพร้อมรูปร่างแบบตายตัว เช่น สี่เหลี่ยมด้านเท่า สี่เหลี่ยมคางหมู และวงกลม นอกจากนี้ วัสดุ Precast ยังไม่เหมาะสำหรับการต่อเติม…

รีไฟแนนซ์คอนโด คืออะไร ช่วยลดภาระได้จริงไหม ?

การกู้ซื้อคอนโดเป็นความรับผิดชอบทางการเงินในระยะยาว โดยต้องใช้เวลาในการผ่อนอย่างน้อย 5-10 ปี ส่งผลให้หลายคนเลือกรีไฟแนนซ์คอนโด เพื่อช่วยลดภาระทางการเงิน และได้กรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของคอนโดไวขึ้น ในบทความนี้ พลัสฯ จะพามาเจาะลึกเกี่ยวกับการรีไฟแนนซ์คอนโด พร้อมแนะนำขั้นตอน และเงื่อนไขต่างๆ ที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์ การรีไฟแนนซ์คอนโด คืออะไร? การรีไฟแนนซ์คอนโด คือ การย้ายสินเชื่อคอนโดจากธนาคารเดิมไปยังธนาคารใหม่ เพื่อให้ได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง โดยส่วนใหญ่ธนาคารจะอนุญาตให้ผู้กู้รีไฟแนนซ์ได้หลัง 3 ปี ซึ่งมีการระบุรายละเอียดไว้ในสัญญากู้ซื้อคอนโด 💸 ประโยชน์ของการรีไฟแนนซ์คอนโด แม้จะเป็นการเปลี่ยนสินเชื่อจากธนาคารหนึ่งไปอีกธนาคารหนึ่ง แต่การรีไฟแนนซ์ช่วยให้ผู้กู้ได้รับผลประโยชน์ในหลายด้าน ได้แก่ 1. ลดอัตราดอกเบี้ย การรีไฟแนนซ์ช่วยให้ผู้กู้ทำสัญญากับธนาคารใหม่ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าธนาคารปัจจุบันได้ ซึ่งช่วยลดภาระหนี้สินต่อเดือน ส่งผลให้โอกาสผิดนัดชำระน้อยลง 2. เปลี่ยนประเภทอัตราดอกเบี้ย ผู้กู้สามารถเลือกประเภทอัตราดอกเบี้ยได้ใหม่ในการรีไฟแนนซ์ เช่น เปลี่ยนจากอัตราดอกเบี้ยลอยตัวไปเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ ซึ่งสามารถพิจารณาความเหมาะสมได้จากสภาวะเศรษฐกิจ และสภาพคล่องทางการเงินของผู้กู้เอง 3. โอกาสในการถอนเงินจากมูลค่าส่วนต่าง (Cash-out Refinance) ธนาคารบางแห่งเปิดให้บริการ “รีไฟแนนซ์คอนโดเพิ่มวงเงิน (Cash-Out Refinance)” โดยผู้กู้สามารถยื่นขอวงเงินกับธนาคารได้เทียบเท่ากับมูลค่า ณ ปัจจุบันของคอนโด ซึ่งจะต้องมากกว่ายอดกู้เดิม เพื่อให้สามารถนำส่วนต่างออกมาเป็นเงินสดได้ 4. ปรับเปลี่ยนระยะเวลาการผ่อน เนื่องจากการรีไฟแนนซ์เป็นการทำสัญญาใหม่กับธนาคารใหม่ ดังนั้นผู้กู้จึงสามารถเปลี่ยนระยะเวลาการผ่อนได้ เช่น สัญญาเดิมกำหนดระยะเวลาการผ่อนไว้ที่ 30 ปี ผู้กู้สามารถเปลี่ยนให้เหลือเพียง 20 ปี ได้ ซึ่งจะช่วยให้เป็นเจ้าของคอนโดได้ไวขึ้น โดยรายละเอียดการรีไฟแนนซ์อาจแตกต่างกันออกไปเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดสินเชื่อคอนโดของธนาคารแต่ละแห่ง เงื่อนไขและคุณสมบัติในการรีไฟแนนซ์คอนโด ธนาคารส่วนใหญ่ในประเทศไทยได้กำหนดเงื่อนไข และคุณสมบัติของผู้กู้รีไฟแนนซ์เอาไว้ ดังนี้ 1. ระยะเวลาที่ผ่อนมาแล้ว ในการกู้ซื้อคอนโด ธนาคารมักกำหนดระยะเวลารีไฟแนนซ์ไว้ที่ 3 ปี กล่าวคือ หากผู้กู้ผ่อนชำระกับธนาคารไม่ครบ 3 ปี หรือมากกว่า ผู้กู้จะไม่สามารถรีไฟแนนซ์กับธนาคารแห่งใหม่ได้ ยกเว้นกรณีที่ผู้กู้ตกลงเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนดและถูกระบุไว้ในสัญญา 2. ประวัติการผ่อนชำระ โดยทั่วไปของการรีไฟแนนซ์ ธนาคารใหม่จะพิจารณาการอนุมัติสินเชื่อจากประวัติการผ่อนชำระกับธนาคารเดิมร่วมด้วย โดยผู้กู้จะต้องมีเครดิตสกอร์ (Credit Score) อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งอาจแตกต่างกันออกไปตามนโยบายของธนาคารนั้นๆ 3. มูลค่าปัจจุบันของคอนโด ธนาคารใหม่จะทำการประเมินมูลค่าปัจจุบันของคอนโดอีกครั้ง  เพื่อการคำนวณวงเงินกู้สูงสุดในการรีไฟแนนซ์ และเปิดโอกาสให้ผู้กู้ได้รับผลประโยชน์จากส่วนต่างในกรณีที่มูลค่าคอนโดเพิ่มขึ้น 4. รายได้และความสามารถในการผ่อน อีกหนึ่งคุณสมบัติที่ธนาคารใหม่ใช้พิจารณาการอนุมัติวงเงิน คือ รายได้ และความสามารถในการผ่อนของผู้กู้ มีอายุงานในบริษัทหรือองค์กรปัจจุบันอย่างน้อย 3 เดือน มีภาระหนี้รวมต่อเดือนไม่เกิน 30% ซึ่งรายละเอียดคุณสมบัติเหล่านี้อาจแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับนโยบายของธนาคารแต่ละแห่ง โดยธนาคารใหม่ที่ทำการรีไฟแนนซ์มีแนวโน้มอนุมัติวงเงินให้กับผู้กู้มีคุณสมบัติครบถ้วน และมีประวัติการผ่อนชำระที่ดีกับธนาคารเดิม ขั้นตอนการรีไฟแนนซ์คอนโด ในกรณีที่ตัดสินใจรีไฟแนนซ์คอนโดแล้ว ผู้กู้มีขั้นตอนที่จะต้องดำเนินการ ดังนี้ 1. การเปรียบเทียบข้อเสนอจากธนาคารต่างๆ ปัจจุบันธนาคารมากมายมีบริการรีไฟแนนซ์…

ฟรีแลนซ์ กู้ซื้อบ้านได้ไหม? ไขข้อสงสัยคนทำอาชีพอิสระ

ปัจจุบันคนรุ่นใหม่นิยมหันมาประกอบอาชีพอิสระ หรือฟรีแลนซ์ (Freelance) กันมากขึ้น เพราะมีอิสระในการทำงาน ความยืดหยุ่นด้านเวลา และโอกาสในการสร้างรายได้ที่ไม่จำกัด อย่างไรก็ตาม หลายคนยังมีข้อกังวลว่า “ฟรีแลนซ์ กู้ซื้อบ้านได้หรือไม่?” เนื่องจากการขอสินเชื่อบ้านจากธนาคารมักต้องใช้สลิปเงินเดือนที่ออกโดยบริษัท ในบทความนี้ พลัสฯ จะพามาไขข้อสงสัยว่า ไม่มีสลิปเงินเดือนซื้อบ้านได้ไหม? พร้อมแนะนำวิธีขอสินเชื่อบ้านให้ผ่านฉลุย ฉบับผู้ที่อยากซื้อบ้านแต่ไม่มีสลิปเงินเดือน ฟรีแลนซ์ กู้ซื้อบ้านได้ไหม? หนึ่งในปัจจัยที่ธนาคารใช้ในการพิจารณาเพื่ออนุมัติสินเชื่อบ้าน คือ สลิปเงินเดือน เนื่องจากเป็นหลักฐานแสดงรายได้ที่ชัดเจนและมั่นคง ส่งผลให้พนักงานประจำที่มีสลิปเงินเดือนสามารถกู้ซื้อบ้านได้ง่ายกว่า เมื่อเทียบกับกลุ่มอาชีพอิสระ ทั้งนี้ ฟรีแลนซ์สามารถกู้ซื้อบ้านได้ไม่ต่างจากพนักงานประจำ เพียงแค่ต้องอาศัยเอกสารอื่นๆ เพื่อยืนยันรายได้และความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย วิธีขอสินเชื่อให้อาชีพอิสระกู้ซื้อบ้านผ่านฉลุย แน่นอนว่า การขอสินเชื่อบ้านของฟรีแลนซ์ย่อมมีความแตกต่างจากพนักงานประจำ โดยฟรีแลนซ์จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมและเอกสารสำคัญ ดังนี้ 1. รายการเดินบัญชีย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือน โดยทั่วไปธนาคารจะขอดู Statement หรือรายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6-12 เดือน เพื่อใช้สำหรับตรวจสอบความต่อเนื่อง และจำนวนรายได้ที่เข้ามาในแต่ละเดือนของผู้กู้ ซึ่งสามารถติดต่อธนาคารที่ใช้บริการเพื่อขอรายการเดินบัญชีย้อนหลังได้ ทั้งนี้ ผู้กู้ควรสร้างรายการเดินบัญชีย้อนหลังให้ดูดี ซึ่งช่วยสะท้อนรายได้ที่สม่ำเสมอและความมั่นคงทางการเงิน เช่น การรับงานจ้างผู้ว่าจ้างเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้มีรายได้เข้ามาเป็นประจำ การชำระหนี้บัตรเครดิต หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ให้ตรงเวลา และไม่ปล่อยให้เงินคงเหลือในบัญชีติดลบ 2. หนังสือรับรองหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) หนังสือรับรองหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) เปรียบเสมือนใบเสร็จที่ได้จากการทำงาน ซึ่งควรได้รับจากผู้ว่าจ้างทุกครั้ง โดยปกติจะใช้เป็นเอกสารประกอบการยื่นภาษีประจำปีและการขอสินเชื่อบ้านจากธนาคาร (ย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือน) เพื่อแสดงแหล่งที่มาของรายได้ ประเภทเงินได้ จำนวนรายได้ และจำนวนเงินที่ถูกหักเป็นภาษี ณ ที่จ่าย 3. บัตรประจำตัววิชาชีพ ทะเบียนการค้า หรือทะเบียนพาณิชย์ บัตรประจำตัววิชาชีพ ทะเบียนการค้า และทะเบียนพาณิชย์เป็นเอกสารยืนยันการประกอบอาชีพ โดยพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์สามารถใช้การบันทึกภาพหน้าจอเฟสบุ๊ค อินสตาแกรม เว็บไซต์ หรือแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ ที่ใช้ในการค้าขาย เพื่อยืนยันการประกอบอาชีพแทนได้ 4. หลักฐานการเสียภาษี ตามกฎหมาย บุคคลที่มีรายได้จะต้องทำการเสียภาษีประจำปีต่อกรมสรรพากร ซึ่งหลักฐานการเสียภาษี หรือ ภงด. 90 จะต้องนำมาประกอบการขอสินเชื่อบ้านจากธนาคารด้วย เพื่อแสดงจำนวนรายได้และ ที่มาของรายได้ตลอดทั้งปี 5. ไม่ติดเครดิตบูโร โดยปกติธนาคารมักจะไม่อนุมัติสินเชื่อบ้านให้กับผู้ที่ติดเครดิตบูโร อันเป็นประวัติการชำระหนี้ที่ไม่ดีของบุคคล อาทิ ผิดนัดชำระหนี้ ถูกศาลสั่งให้ชำระหนี้ มีหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน หรือมีหนี้สูญที่สถาบันทางการเงินไม่สามารถติดตามทวงถามได้ และอื่นๆ ซึ่งเครดิตบูโรรวบรวมและจัดเก็บโดยบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หากติดเครดิตบูโรอยู่ แนะนำให้ทำการชำระหนี้คืนกับสถาบันทางการเงินนั้นๆ…

โฉนดคอนโด คืออะไร ? ได้ตอนไหน สิ่งที่ควรรู้ก่อนซื้อ มีอะไรบ้าง

แม้ “บ้าน” และ “คอนโด” จะเป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยเหมือนกัน แต่เอกสารที่ใช้ระบุความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 2 มีความแตกต่างกันออกไป ในบทความนี้ พลัสฯ จะพามาทำความเข้าใจข้อแตกต่างระหว่างโฉนดที่ดินกับโฉนดคอนโด หรือโฉนดห้องชุด พร้อมแนะนำ 3 ขั้นตอน เตรียมตัวซื้อคอนโด โฉนดคอนโด คืออะไร? ชื่อเรียกที่ถูกต้องของโฉนดคอนโด คือ “หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด” แต่มักนิยมเรียกว่า โฉนดคอนโดหรือโฉนดห้องชุด เนื่องจากถูกจำสับสนกับโฉนดที่ดิน แต่หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด และโฉนดที่ดินระบุกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของต่างกันออกไป หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด เอกสารราชการแสดงสิทธิของบุคคลในการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในห้องชุดเฉพาะส่วนหนึ่งของอาคารชุด และมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของในทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดนั้นร่วมกับเจ้าของห้องชุดอื่นๆ โดยเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดสามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หรือตกแต่งภายในห้องชุดได้ตามต้องการ แต่ต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของโครงการ (แต่ละโครงการอาจมีข้อกำหนดแตกต่างกันออกไป) และจะไม่สามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หรือตกแต่งทรัพย์ส่วนกลางที่อยู่นอกห้องชุดได้ โฉนดที่ดิน เอกสารราชการแสดงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินผืนนั้นๆ ได้ตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยเช่า ทำธุรกรรม ซื้อขาย จำนอง หรืออื่นๆ นอกจากนี้ ผู้ถือครองโฉนดที่ดินยังสามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หรือต่อเติมสิ่งปลูกสร้างที่อยู่บนที่ดินของตนเองได้ด้วยเช่นกัน โดยโฉนดที่ดิน และหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดเป็นเอกสารสำคัญที่แสดงกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งออกโดยกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย และจำเป็นต้องใช้ในการทำธุรกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การจำนองกับธนาคาร การฝากขาย การทำพินัยกรรม และอื่นๆ โฉนดคอนโด ได้ตอนไหน? ระยะเวลาในการได้รับหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดจะขึ้นอยู่กับรูปแบบการซื้อขายคอนโด โดยแบ่งออกเป็น 2 กรณีหลัก คือ 1. ซื้อจากโครงการโดยตรง การซื้อคอนโดจากโครงการโดยตรงแบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้ กรณีซื้อคอนโดที่กำลังก่อสร้าง หรือคอนโด Pre-sale ผู้ซื้อจะได้รับหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดเมื่อคอนโดก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยโครงการจะทำเรื่องขอจดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุด และดำเนินการขอออกหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้กับผู้ซื้อ ซึ่งอาจใช้เวลาเป็นเดือนหรือปี ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการก่อสร้างและการดำเนินงานของโครงการ กรณีซื้อคอนโดสร้างเสร็จพร้อมโอน โครงการจะดำเนินการส่งมอบหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้กับผู้ซื้อ ณ กรมที่ดิน ภายหลังจากที่ผู้ซื้อรับโอนห้องชุดจากโครงการแล้วเสร็จ โดยจะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ 2. ซื้อคอนโดมือสอง เจ้าของเก่าจะทำการโอนหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้กับผู้ซื้อ ณ กรมที่ดิน ภายหลังจากผู้ซื้อรับโอนห้องชุดจากเจ้าของเก่าแล้วเสร็จ โดยจะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ทั้งนี้ การได้รับหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดอาจเร็วกว่า 1-2 สัปดาห์ หรือล่าช้ากว่านั้น ขึ้นอยู่กับภาระงานของกรมที่ดินด้วยเช่นกัน พลัสฯ แนะนำ คอนโดมือสองที่น่าสนใจ:   Oka Haus คอนโด High rise พร้อมส่วนกลางจัดเต็ม   Wyne by Sansiri ติดถนนใหญ่สุขุมวิท ใกล้ BTS สถานีพระโขนง เจ้าของหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดได้สิทธิ์อะไรบ้าง?…

คอนโดอยู่ได้กี่ปี? วิธีเลือกซื้อคอนโดเก่า ควรดูอะไรบ้าง

อายุขัยของคอนโดถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หลายๆ คนเกิดความลังเลใจในการซื้อคอนโด โดยเฉพาะผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อคอนโดมือสอง ในบทความนี้ พลัสฯ จะมาตอบข้อสงสัยที่ว่า คอนโดอยู่ได้กี่ปี พร้อมวิธีการเลือกซื้อคอนโดมือสองสภาพดี คอนโดอยู่ได้กี่ปี ? คอนโดมีอายุกี่ปี? แน่นอนว่า คอนโดมิเนียมมีอายุขัยเหมือนกับสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ โดยทั่วไปคอนโดจะมีอายุขัยประมาณ 50-100 ปีขึ้นไป ซึ่งขึ้นอยู่กับพื้นฐานของโครงสร้างอาคาร และการบำรุงรักษาอาคารของนิติฯ คอนโด หากคอนโดถูกทุบ หรือพังทลายลง เจ้าของคอนโดจะเหลืออะไร? แม้นิติบุคคลจะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ครอบครองที่ดินคอนโด แต่เจ้าของคอนโดทุกคนมีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินดังกล่าวด้วยเช่นกัน ในกรณีที่คอนโดถูกทุบหรือพังทลาย เจ้าของร่วมทุกคนจะมีสิทธิได้รับการชดเชย ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กรณีหลัก คือ 1.ความเสียหายจากภัยพิบัติต่างๆ โดยปกติโครงการคอนโดมิเนียมจะมีการทำประกันอาคารชุดไว้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นประกันอัคคีภัย อุทกภัย และอื่นๆ ซึ่งนิติบุคคลจะได้รับเงินชดเชยจากบริษัทประกัน และเงินประกันส่วนนี้จะต้องแบ่งให้กับเจ้าของร่วมทุกคนตามสัดส่วนกรรมสิทธิ์ 2.อาคารชุดพังทลายเหลือแค่ที่ดิน หากอาคารชุดพังเสียหายเหลือแค่ที่ดิน เจ้าของโครงการจะต้องนำที่ดินและทรัพย์สินที่เหลือมาแบ่งให้กับเจ้าของร่วมทุกคนตามสัดส่วนกรรมสิทธิ์ ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่ระบุไว้ตามกฏหมายอาคารชุด อย่างไรก็ตาม การชดเชยความเสียหายอาคารอาจมีรูปแบบที่ต่างกันออกไปได้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงร่วมกันระหว่างเจ้าของร่วม แนะนำวิธีเลือกซื้อคอนโดเก่า คอนโดมือสองเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีราคาขายถูกกว่าคอนโดมือหนึ่งในทำเลเดียวกัน ทั้งนี้ การเลือกซื้อคอนโดมือสองคุณภาพจำเป็นต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย โดยวิธีเลือกซื้อคอนโดมือสอง คือ 1.คอนโดผ่านมาตรฐาน EIA มาตรฐาน EIA หรือ Environmental Impact Assessment คือ มาตรฐานการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยโครงการคอนโดที่ไม่ผ่าน EIA จะไม่สามารถขายได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย ซึ่งกรมที่ดินจะไม่สามารถออกหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้กับผู้ซื้อได้ และจะทำให้ผู้ซื้อมีปัญหาด้านกฏหมายตามมาในอนาคต ดังนั้นจึงควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนซื้อคอนโดว่า โครงการคอนโดนั้นๆ ผ่านมาตรฐาน EIA แล้วหรือไม่  โดยสามารถตรวจสอบด้วยตนเองได้ผ่านเว็บไซต์ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (Link) 2.วัสดุก่อสร้างที่ใช้ได้มาตรฐาน โดยปกติผู้ซื้อจะสามารถขอดูใบรายการวัสดุก่อสร้างอาคารชุดจากผู้พัฒนาได้ ซึ่งจะมีการระบุรายละเอียดของรุ่น และยี่ห้อวัสดุต่างๆ ที่ใช้ นอกจากนี้ ผู้ซื้อยังสามารถขอดูใบรับรองการตรวจสอบอาคารได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นเอกสารที่รับรองโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง 3.สังเกตการณ์ดูความเข้มและจางของสีอาคาร สีของอาคารชุดทั้งภายนอกและภายในไม่ได้บ่งบอกเฉพาะความสวยงามเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงการซึมผ่านของน้ำฝนได้ด้วย โดยความชื้นของอาคารที่เกิดจากการซึมผ่านของน้ำฝน คือ หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้สีอาคารหลุดร่อนและซีดจาง 4.สังเกตรอยร้าวอาคาร รอยร้าวของอาคารสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการเสื่อมสภาพของปูนซีเมนต์หรือเหล็กเสริม การรับน้ำหนักมากเกินพิกัด ไปจนถึงการทรุดตัวของดิน 5.ชื่อเสียงของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ชื่อเสียงของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยการันตีคุณภาพของคอนโด ทั้งความเชี่ยวชาญในการออกแบบ ทีมก่อสร้างระดับมืออาชีพ วัสดุที่ได้มาตรฐาน ไปจนถึงการออกแบบภายในที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัย ปัจจัยทั้งหมดนี้ไม่เพียงบ่งบอกอายุขัยของคอนโด แต่ยังเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้ซื้อตามกฏหมาย ดังนั้นจึงควรพิจารณาทุกปัจจัยอย่างถี่ถ้วนและรอบครอบ ทั้งนี้ การพิจารณาปัจจัยทั้งหมดด้วยตนเองอาจก่อให้เกิดความยุ่งยากและซับซ้อน โดยควรเลือกซื้อคอนโดมือสองผ่านนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่น่าเชื่อถือและมีความเชี่ยวชาญ ยกตัวอย่างพลัสฯ ที่มีทีมผู้เชี่ยวชาญช่วยสำรวจโครงสร้างอาคาร และสภาพภายในของห้องคอนโดมือสอง เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อได้รับยูนิตห้องในสภาพที่ดีที่สุด อีกทั้งพลัสฯ ยังช่วยดำเนินเอกสารต่างๆ ในขั้นตอนการซื้อคอนโดมือสองอย่างครบถ้วน พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญบริการอสังหาฯ ที่คุณไว้ใจ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ใส่ใจทุกความต้องการ เชี่ยวชาญเรื่องการบริการแบบ 360°…

แชร์ 5 เทคนิคแต่งบ้านสไตล์ Luxury ดูสวยแพงน่าอยู่

การแต่งบ้านสไตล์ Luxury ถือเป็นอีกหนึ่งสไตล์การตกแต่งบ้านที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน โดยสามารถนำมาประยุกต์กับสไตล์อื่นๆ ได้ตามยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นล์คอนเทมโพรารี่ ลักซ์ชัวรี่ (Contemporary Luxury) โมเดิร์น ลักซ์ชัวรี่ (Modern Luxury) ไปจนถึงมินิมอล ลักซ์ชัวรี่ (Minimal Luxury) ในบทความนี้ พลัสฯ จะมาแบ่งปัน 5 เทคนิคแต่งบ้านสไตล์ Luxury ให้บ้านดูสวยแพง บ่งบอกรสนิยมอันโดดเด่น พร้อมแนะนำ 6 บ้านหรู ตกแต่งครบ พร้อมย้ายกระเป๋าเข้าอยู่ แชร์ 5 เทคนิคแต่งบ้านสไตล์ Luxury การแต่งบ้านหรูมี 5 เทคนิคหลัก ที่ช่วยเสริมให้ภาพลักษณ์ดูแพง ได้แก่ 1.การเลือกโทนสี โทนสีมีบทบาทสำคัญต่ออารมณ์ และความรู้สึกของผู้อยู่อาศัยและแขกผู้มาเยือน ซึ่งโทนสีในที่นี้ครอบคลุมทั้งสีของตัวบ้าน และสีของเฟอร์นิเจอร์ โดยสีที่นิยมใช้สำหรับการแต่งบ้านให้ดูแพง คือ ขาว ดำ เทา ครีม ทอง เงิน และทองแดง ทั้งนี้ การเลือกโทนสีตกแต่งบ้านไม่จำเป็นต้องใช้เพียงสีเดียว เพราะจะทำให้บ้านดูไม่มีมิติ โดยสถาปนิกมักใช้วิธีจับคู่สีเข้าด้วยกัน เช่น การทาผนังสีครีมร่วมกับการใช้ผ้าม่านสีครีมที่มีปักเลื่อมทอง ซึ่งสีครีมจะทำให้บ้านดูโล่ง สบายตา และอบอุ่น ในขณะที่สีทองจะเสริมให้ดูหรูหราและมีมิติ 2.การเลือกชนิดวัสดุ หนึ่งในเอกลักษณ์ของบ้านหรู คือ ความพรีเมียมของวัสดุก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งมีจุดเด่นด้านความแข็งแรงและทนทาน นอกจากนี้ การเลือกวัสดุยังคำนึงถึงสี และผิวสัมผัสที่ให้ความรู้สึกหรูหรา อาทิ หินอ่อน ไม้สัก ทองเหลือง กระจกนิรภัย หนังสัตว์ ผ้ากำมะหยี่ และอื่นๆ 3.การเลือกโคมไฟ โคมระย้า หรือแชนเดอเลียร์ คือ ประเภทโคมไฟที่นิยมใช้สำหรับการตกแต่งบ้านสไตล์ Luxury เพราะช่วยเสริมให้บ้านดูอลังการ โดยสถาปนิกมักแนะนำให้ติดแชนเดอเลียร์ในห้องที่เป็นจุดเด่นของบ้านเพียง 1 ห้อง เช่น ห้องโถงและห้องรับประทานอาหาร เนื่องจากการติดแชนเดอเลียร์ทุกห้องในบ้านจะทำให้แต่ละห้องดูอึดอัดมากจนเกินไป โดยเฉพาะห้องที่มีเพดานต่ำ อีกทั้งยังดูแลและทำความสะอาดได้ยาก อย่างไรก็ตาม การตกแต่งบ้านสไตล์ Luxury ไม่จำเป็นต้องใช้โคมไฟแชนเดอเลียร์เสมอไป โดยสามารถเลือกใช้ไฟดาวน์ไลต์ ไฟสปอตไลต์ หรือโคมไฟดีไซน์เก๋ๆ แทนได้ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในการแต่งบ้านสไตล์โมเดิร์นเรียบหรู 4.จัดตู้โชว์ของสะสม การจัดตู้โชว์ของสะสมเป็นเทคนิคที่ช่วยสะท้อนรสนิยมของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี โดยของสะสมไม่จำเป็นต้องมีมูลค่าสูงเสมอไป เพียงเลือกตู้โชว์ที่มีความเรียบหรู เช่น ตู้ไม้ หรือตู้โลหะ แล้วจัดวางของสะสมให้เป็นระเบียบ นอกจากนี้ยังสามารถเสริมความหรูหราได้ด้วยการปูผ้ากำมะหยี่ หรือติดไฟสปอตไลต์ขนาดเล็กไว้ภายในตู้ โดยควรทำความสะอาดภายใน และภายนอกตู้โชว์ของสะสมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่นและสิ่งสกปรกต่างๆ 5.เครื่องหอมดีไซน์สวย เครื่องหอมมีส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างบรรยากาศภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเทียนหอม ก้านไม้หอม เครื่องพ่นน้ำหอม…

แนะนำ 3 แบบบ้านหรูยอดนิยม พร้อมเจาะลึกองค์ประกอบสไตล์บ้านหรู

มากกว่าแค่ความหรูหรา! แต่บ้านหรูยังช่วยยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัย ทั้งในด้านไลฟ์สไตล์ ความสะดวก และความปลอดภัย ส่งผลให้บ้านหรูเป็นหนึ่งในอสังหาริมทรัพย์ที่มีความต้องการสูงในประเทศไทย ในบทความนี้ พลัสฯ จะพามาเจาะลึกเกี่ยวกับสไตล์บ้านหรู พร้อมแนะนำ 3 แบบบ้านหรูยอดนิยม แบบบ้านหรู มีลักษณะพิเศษอย่างไร? แบบบ้านหรูไม่ได้มีจุดเด่นแค่การตกแต่งด้วยสไตล์ที่หรูหรา แต่ยังมีองค์ประกอบสำคัญอื่นๆ อีกที่ทำให้สไตล์บ้านหรูพิเศษกว่าแบบบ้านทั่วไป ได้แก่ 1.ความเป็นส่วนตัวขั้นสูงสุด โครงการบ้านหรูส่วนใหญ่มาพร้อมยูนิตบ้านค่อนข้างน้อย เช่น บูก้านที่เป็นโครงการบ้านแสนสิริ ซึ่งมีจำนวนยูนิตบ้านทั้งหมดเพียง 14 หลัง ทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความเป็นส่วนตัวสูง 2.ให้ความสำคัญกับงานดีไซน์ แบบบ้านหรูมักมีงานดีไซน์ที่ละเอียดอ่อน ทั้งภายในและภายนอก โดยเน้นการใช้วัสดุก่อสร้างคุณภาพสูงที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้อย่างแท้จริง ส่งผลให้ตัวบ้านมีความแข็งแรง คงทน และประหยัดงบประมาณการซ่อมแซมในระยะยาว ส่วนการตกแต่งเน้นใช้เฟอร์นิเจอร์ระดับพรีเมียมที่ดีไซน์สวยงาม ทำจากวัสดุคุณภาพ และสะท้อนรสนิยมอันมีเอกลักษณ์ของเจ้าของบ้าน 3.ส่วนกลางที่ครบครัน โครงการบ้านหรูมักมาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางอย่างครบครัน เพื่อยกระดับประสบการณ์การอยู่อาศัยของลูกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ คลับเฮ้าส์ สวนพักผ่อน สนามเทนนิส ห้องสมุดส่วนกลาง และอื่นๆ อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับจุดขายของแต่ละโครงการ 4.มาตรฐานความปลอดภัย โครงการบ้านหรูมีมาตรฐานระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ที่น่าเชื่อถือ ทั้งกล้องวงจรปิด การจัดการคนเข้าออก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย อุปกรณ์สัญญาณกันขโมย และอื่นๆ อีกมากมาย ด้วยข้อดีขององค์ประกอบทั้งหมดนี้ ส่งผลให้บ้านหรูเป็นที่ต้องการของใครหลายคน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่กำลังมองหาการอยู่อาศัยที่สะดวกสบายและปลอดภัย แนะนำ 3 แบบบ้านหรู ที่ได้รับความนิยม ในปัจจุบันสไตล์บ้านหรูมีหลากหลายแบบให้เลือก โดย 3 แบบบ้านหรู ที่ได้รับความนิยม คือ 1.แบบบ้านหรู สไตล์ Modern Luxury บ้านหรู สไตล์โมเดิร์น ลักชูรี่ คือ การผสานความเรียบง่ายของสไตล์โมเดิร์นเข้ากับความหรูหราของสไตล์ลักชูรี่ โดยเน้นการใช้เฟอร์นิเจอร์ และออกแบบบ้านด้วยรูปทรงเรขาคณิต ซึ่งเป็นจุดเด่นของสไตล์โมเดิร์นที่เรียบง่าย เท่ และสบายตา แต่เลือกใช้วัสดุที่มีความพรีเมียม เพื่อสื่อถึงความหรูหรา เช่น หินแกรนิต หนังสัตว์ ผ้ากำมะหยี่ และโลหะสีทอง 2.แบบบ้านหรู สไตล์ Minimalist บ้านหรู สไตล์มินิมอล คือ บ้านที่ออกแบบให้ดูโล่งโปร่ง รายละเอียดเรียบง่าย และแสงธรรมชาติสามารถสาดส่องเข้ามาในตัวบ้านได้มาก โดยเน้นการใช้เฟอร์นิเจอร์สีพื้นที่มีความเรียบง่าย เช่น สีขาว สีครีม สีเทาอ่อน และสีดำ ซึ่งนิยมเลือกเป็นสีใดสีหนึ่ง เพื่อให้มีความกลมกลืน แต่แฝงไปด้วยการใช้วัสดุคุณภาพสูง ทั้งในส่วนของตัวบ้านและเฟอร์นิเจอร์ 3.แบบบ้านหรู สไตล์ Classic Luxury บ้านหรู สไตล์คลาสสิก ลักชูรี่ คือ บ้านที่ออกแบบให้มีความโอ่อ่า และมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ…